Music and Its Other Noise, Sound, Silence โดยอิทธิพลงานบทประพันธ์ทางด้านเสียง และงานดนตรีของแต่ละบุคคลได้ให้นิยามของคำว่า Music and Its Other Noise, Sound, Silence ได้อย่างใกล้เคียงกัน Jacques Attali เสียงดนตรีเหมือนเศรษฐศาสตร์และการเมือง, Luigi Russolo ศิลปะและเสียงรบกวน, Morton Feldman เป็นเสียงความไพเราะและเสียงรบกวน, Edgard Varese เกิดจากเนื้อเสียง, พื้นผิว และ พื้นที่เสียงดนตรี, Henry Cowell เป็นความสนุกสนานของเสียงรบกวน , John Cage ดนตรีแห่งความเงียบ การกำเนิดของเสียงจากการเคาะ หรือการกระทบกันของสิ่งต่างๆ, R. Murray Schaffer เป็นห้วงทำนองดนตรีแห่งสิ่งแวดล้อม เสียงที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา, Mark Slouka การฟังสำหรับความเงียบบันทึกบนชีวิต, Mary Russo And Daniel Warner เสียงรบกวนที่เกิดจากอุตสาหกรรม , Simon Reynolds เสียงรบกวนในดนตรี , Masami Akita ใช้พื้นฐานทางกายภาพ โดยค้นพบจาก เสียงสะท้อนต่างๆ เช่น เครื่องกรอง แหวน, เสียงของกล่องกระดาษ จากการวิเคราะห์งานประพันธ์ของแต่ละคน สังเกตได้ว่าการกำเนิดที่เกิดขึ้นของเสียงแต่ละคน ที่ค้นพบนั้น เกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เสียงจากมนุษย์และสัตว์ หรือสิ่งของต่างๆ แล้วยังรวมไปถึง สภาวะสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น ลม น้ำ ไฟ ก็สามารถทำให้เกิดเสียงได้ ดังนั้นเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะเป็นเสียงรบกวนหรือความเงียบหรืออาจมีเสียงและไม่มีเสียงก็ตามซึ่งมีอิทธิพลต่องานประพันธ์ทางด้านเสียง และงานดนตรีสมัยใหม่ โดยผมขอนำบทความของ จอห์น เคจ ซึ่งเป็นหนึ่ง ในผู้บุกเบิกดนตรีสมัยใหม่ในอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1930-1940 เขาเขียนงานร่วมสมัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานสำหรับเปียโนดัดแปลง (Prepared Piano) ซึ่งเป็นการดัดแปลงการใช้งานเปียโนเพื่อให้เกิดเสียงที่แปลกออกไป เขายังเป็นคนแรกที่ประพันธ์ดนตรีด้วยเครื่องดนตรีอิเล็คโทรนิคจากงานที่ชื่อว่า "Imaginary Landscapes" จอห์น เคจ ได้คาดการณ์อนาคตของดนตรีอิเล็คโทรนิคไว้ในปาฐกถา "The Future of Music, Credo" ที่เขากล่าวในปี 1937 (พ.ศ. ๒๔๘๐) เขาเป็นหนึ่งในนักประพันธ์ที่ประพันธ์ดนตรีโดยอาศัยจังหวะเป็นแนวคิดหลัก และไม่ให้ความสำคัญกับวิชาการเรียบเรียงเสียงประสานแบบ เดิม ๆ แต่ในงานประพันธ์ 4'33" ในปี ค.ศ. 1952 นี้เองที่เป็นจุดพลิกผันครั้งยิ่งใหญ่สำหรับจอห์น เคจ 4'33" มักถูกเข้าใจผิดและรู้จักกันในชื่อ เพลงแห่งความเงียบ (Silent Piece) ทั้งที่ จอห์น เคจ เองได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าความเงียบมีอยู่จริง เขาไม่เชื่อว่ามีภาวะที่ปราศจากเสียงอย่างแท้จริง ในปี ค.ศ. 1951 (พ.ศ.๒๔๙๔) จอห์น เคจ เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) เพื่อรับฟังความเงียบในห้องไร้เสียงสะท้อน แต่สิ่งที่เขาได้ยินกลับเป็นเสียงสองเสียง สูงและต่ำ และได้รับการอธิบายว่าเสียงที่เขาได้ยินนั้นเกิดจากระบบประสาท และการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายของเขาเอง การค้นพบครั้งนี้ส่งผลอย่างมากต่อแนวคิดเชิงปรัชญาของ จอห์น เคจ ที่จะใช้ในงานประพันธ์ชิ้นนี้ เขาสรุปว่าไม่มีภาวะใดที่ปราศจากเสียงอย่างแท้จริง และเขียนไว้ว่า "ลองสร้างความเงียบดูสิ เราทำไม่ได้หรอก" และ "อนาคตของดนตรีไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องกลัวเลย" จอห์น เคจ พบว่าแนวคิดที่จะประพันธ์งานชิ้นนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ คำว่าความเงียบ ได้รับการนิยามความหมายเสียใหม่ เขาตระหนักว่าไม่มีความต่างพื้นฐาน ระหว่างเสียงและความเงียบ ความแตกต่างหนึ่งเดียวก็คือความคิดเอาใจใส่จดจ่อรับฟัง หรือไม่เอาใจใส่ต่อการรับฟังเท่านั้น เขาสรุปว่า "ที่สุดแล้ว ความหมายของความเงียบก็คือการที่คนเรา สูญเสียความเอาใจใส่จดจ่อในเสียงต่าง ๆ นั่นเอง" ซึ่งถือเป็นจุดพลิกผันครั้งสำคัญของแนวคิด เชิงปรัชญาในการประพันธ์ของเขา สำหรับ จอห์น เคจ แล้ว เขานิยามความหมายของความเงียบว่า เป็นภาวะที่เสียงซึ่งเราเอาใจจดจ่อรับฟังนั้นหายไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือภาวะที่เราสูญเสียความใส่ใจในเสียงนั้น ๆ นั่นเอง (เราจึงไม่ได้ยินเสียงต่าง ๆ) จอห์น เคจ บอกว่าความเงียบไม่ใช่เรื่องของเสียง แต่เป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจและความไม่หยุดนิ่ง แนวคิดของ 4'33" ปรากฏขึ้นครั้งแรกในราวปี ค.ศ. 1947 หรือ 1948 (พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๔๙๑) ระหว่างที่ จอห์น เคจ กำลังเริ่มต้นศึกษาปรัชญาตะวันออกที่วิทยาลัยวัสสาร์ (Vassar) เขาได้กล่าวในที่ประชุมทางวิชาการว่าถึงความคิดที่ว่าจะต้องมีเพลงที่ปราศจากเสียงอยู่ เขาบันทึกไว้ว่าเขาต้องการที่จะเขียนเพลงที่มีแต่ความเงียบเท่านั้น และตั้งใจจะขายให้แก่บริษัทมูซัค (Muzak Co.) เพลง ๆ นี้จะมีความยาว 3 ถึง 4 นาที (ซึ่งเป็นความยาวมาตรฐานของดนตรีเบาๆ ที่ใช้ฟังเพื่อการหย่อนใจทั่วไป) และจะมีชื่อว่ามนตร์แห่งความเงียบ (Silent Prayer) คำถามที่ตามมาคือเหตุผลของการประพันธ์เพลงที่ไม่ต้องมีการเล่น บางคนมองว่า จอห์น เคจ เพียงต้องการสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ฟัง บางคนมองว่าเขาจงใจสบประมาทผู้ฟังหรือไม่ก็ดูหมิ่นไปที่ตัวศิลปะการดนตรีทีเดียว บางคนถึงกับมองว่านั่นเป็นเพียงการกระทำของคนโง่ ๆ หรือนักประพันธ์กำมะลอคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเราได้ศึกษาความคิดต่าง ๆ ของจอห์นเคจโดยละเอียด ก็จะพบว่าทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงการลงความเห็นที่ผิดพลาดทั้งสิ้น จอห์น เคจ บอกว่า "ผมรู้ว่ามันอาจกลายเป็นแค่เรื่องตลกและไม่นับเป็นงานศิลป์ แต่ผมก็รู้ว่าถ้าผมทำมันสำเร็จมันจะเป็นงานชนิดที่สมบูรณ์ที่สุด" จอห์น เคจ ได้รับแรงบันดาลใจครั้งสำคัญที่จะประพันธ์ 4'33" ขึ้นมาจริง ๆ เมื่อเขาได้เห็นภาพที่ว่างเปล่าสีขาวของโรเบิร์ท โรเชนเบิร์ก (Robert Rauschenberg) ซึ่งเพิ่งเสร็จใหม่ ๆ ภาพนั้นส่งผลต่อ จอห์น เคจ ในทันที เขากล่าวว่า "มันไม่ใช่เรื่องของสิ่งที่เราเห็น แต่เป็นวิธีการที่เรามองต่างหาก ผมเคยบอกว่าภาพนั้นก็คือสนามบินสำหรับแสงและเงา แต่คุณจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่ามันคือภาพสะท้อนของอากาศนั่นเอง" "เมื่อผมเห็นภาพนั้น ผมบอกว่าผมช้าไปเสียแล้ว หรือไม่วงการดนตรีนั่นแหละที่ช้าและล้าหลังงานจิตรกรรม"จอห์น เคจ รู้สึกว่าภาพของโรเชนเบิร์กเป็นเสมือนกับคำอนุมัติให้เขาเขียนเพลงแห่งความเงียบ จอห์น เคจ มีวิธีการประพันธ์ที่น่าสนใจ เขาเขียนงานชิ้นนี้อย่างละเอียดลออโดยอาศัยแผนผังตัวโน้ต และวิธีการใช้โอกาสของความน่าจะเป็น (Chance Operation) เขาบอกว่า "ผมไม่เคยทำสิ่งที่ไร้ความหมายเพียงเพื่อจะสร้างความตื่นตะลึงเท่านั้น" นอกจากนี้เขายังได้สรุปอีกด้วยว่าจุดม่งหมายของดนตรี ต้องไม่ใช่เพื่อการสื่อสาร(communication) หรือการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกส่วนตนอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นอะไรเล่าที่เป็นจุดมุ่งหมายของดนตรี จุดมุ่งหมายของดนตรีคือการทำให้เกิดสภาวะจิตสงบ (to quiet the mind) เพื่อให้พร้อมที่จะรับอิทธิพลของทวยเทพ (divine influences) จอห์น เคจได้กล่าวว่า "ผมพบว่าศิลปะทุกชนิดที่มีอยู่ก่อนหน้าสมัยอภินิพัต (Renaissance) นั้น ไม่ว่าจะเป็นศิลปะตะวันออกหรือตะวันตกต่างก็ตั้งอยู่บนแนวคิดที่มีรากฐานอันเดียวกัน ศิลปะตะวันออกนั้นยังคงดำเนินต่อเนื่องไปตามแนวคิดนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้ แนวคิดในสมัยอภินิพัต ที่ทำให้ศิลปะเป็นเรื่องของการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกส่วนตน (self expression) จึงจัดได้ว่าเป็นแนวคิดแบบนอกรีต (heretical)" ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะค้นหาความหมายของคำว่าจิตสงบ (quiet mind) และอิทธิพลของทวยเทพ (divine influences) เขาอธิบาย "จิตสงบ" ว่าหมายถึงสภาวะที่จิตปราศจากความ "ไม่ชอบ" (dislikes) แต่ด้วยเหตุที่ความ "ไม่ชอบ" นั้นเป็นสภาวะธรรมที่อิงอยู่กับความ "ชอบ" (likes) ดังนั้นจิตที่สงบจึงต้องอยู่ในสภาวะที่เป็นอิสระทั้งจากความ "ชอบ" และความ "ไม่ชอบ" คุณสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นคนที่มีความคิดคับแคบได้ง่ายๆโดยการทำตัวให้ชอบบางสิ่ง และไม่ชอบบางสิ่ง ในทำนองเดียวกันคุณก็สามารถถูกเปลี่ยน ให้เป็นคนที่มีความคิดกว้างขวางอย่างง่ายๆ เช่นกัน ด้วยการละทิ้งความ "ชอบ" และความ "ไม่ชอบ" ที่มีต่อสิ่งต่างๆให้หมดไปเสีย แล้วหันมาสนใจที่ตัวสิ่งเหล่านั้นแทน ส่วน "อิทธิพลของทวยเทพ" (divine influences) หมายถึงเสียงและเหตุการณ์ต่างๆ (ที่ดังและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา) ที่ทุกคนสามารถรับรู้ได้อย่างอิสระ เช่น เสียงและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติรอบตัวเราเป็นต้น ดังนั้นบทบาทและหน้าที่ของดนตรีจึงไม่ใช่เพื่อ "บันเทิง" (to entertain) หรือ "สื่อสาร"(to- communicate) หากแต่เป็นกระบวนการค้นหา คุณสมบัติของความเป็นผู้ที่สามารถรับรู้ และมีความอ่อนไหวต่อเสียงที่เกิดขึ้น ในสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ตลอดจนถึงการเป็นอิสระจากรสนิยมส่วนตัว(personal taste) และการปรับเปลี่ยนแทรกแซง (manipulation) จอห์น เคจ ชี้ให้เห็นถึงข้อสรุปต่อมุมมองในประเด็นดังกล่าวของเขา การทำงานศิลปะนั้น ศิลปินอาจเลือกวิธีปฏิบัติได้โดยสองทาง ทางแรกนั้นเป็นไปในทางเพิ่มพลังให้กับอัตตา โดยให้ตัวมันเองมีความ "ชอบ" และความ "ไม่ชอบ" เป็นคุณสมบัติ ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นเป็นการเปิดให้จิตภายในไปสู่ภายนอก และจิตภายนอกเข้าสู่ภายใน ผมมองดนตรีว่าเป็นสื่อในการเปลี่ยนแปลงสภาวะจิต ผมมองว่าศิลปะไม่ได้เป็นอะไรบางอย่างที่ประกอบไปด้วย สิ่งซึ่งต้องสื่อสารจากตัวศิลปินไปยังผู้ฟัง อันที่จริงมันแค่เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของเสียงที่ศิลปินเพียงพบวิธี ในการทำให้มันเป็นตัวของตัวมันเอง เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่เปิดจิตของผู้คน ทั้งผู้ที่สร้างมัน หรือผู้ที่ฟังมัน เพื่อพาไปสู่ความเป็นไปได้อื่นๆ ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ ดนตรีจึงไม่มีคุณสมบัติในการสื่อสารหรือถ่ายทอดอารมณ์ส่วนบุคคลใดๆ แนวคิดแบบดั้งเดิมของชาวตะวันออกในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่างประสานกลมเกลียวนั้น เป็นข้อที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ต่อวิธีการปฎิบัติแบบตะวันตก ที่ต้องการจะควบคุม และปรับเปลี่ยนแทรกแซงสภาพแวดล้อม แต่ความประสานกลมเกลียวกับธรรมชาติที่ว่านั้นจะมาปรากฎขึ้นในดนตรีได้อย่างไร จอห์น เคจ พบคำตอบต่อปัญหานี้จากงานเขียนหลายชิ้นของ อนันท์ กุมารสวามี (Ananda Coomaraswamy) ว่า "ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ โดยยึดเอาลักษณะของระบบการทำงานของธรรมชาติเป็นแม่แบบ" คำกล่าวนี้ต้องระวังไม่ให้นำไปสับสนกับการเลียนแบบลักษณะทางกายภาพ ของธรรมชาติตามที่เราเห็น จอห์น เคจ ได้ทำให้เกิดก้าวใหม่อีกก้าวหนึ่งของแนวคิดสุนทรียศาสตร์แบบใหม่นี้ โดยเขาได้ให้คำคมเกี่ยวกับศิลปะกับชีวิตไว้ ว่าไม่ควรเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันแต่ควรรวมเป็นสิ่งเดียวกัน "ศิลปะไม่ใช่การหนีไปจากชีวิต ตรงกันข้ามมันคือบทนำสู่ชีวิตต่างหาก" เขาบอกว่า "ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นศิลปะ" และสิ่งนี้ก็ได้นำไปสู่แนวคิดที่เขาเรียกว่า "interpenetration" (การแทรกซึมสู่กัน) จอห์น เคจ เชื่อว่าต่อไปเราคงไม่อาจกล่าวถึงดนตรีด้วยการตัดสินว่าเป็นแนว "ใหม่" (new) หรือแนว "ทดลอง" (experimental) ได้อีกหากไม่รวมเอาแนวคิดของ "interpenetration" เข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย แต่ก่อนเสียงที่อยู่นอกเหนือจากความตั้งใจของผู้แต่งจะถูกถือว่าเป็น สิ่งอื่นที่เข้ามารบกวน หรือเป็นเสียงที่ไม่ต้องการ แต่งานบางชิ้นอาจยินดีรับและรวมเอาเสียงต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือจากความตั้งใจของผู้แต่งหรือผู้แสดงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วย หากเรามีข้อมูลเหล่านึ้อยู่ในสมองก็จะเป็นการง่ายในการทำความเข้าใจกับ 4'33" ในฐานะงานศิลปะแบบจริงจัง (serious artwork) "chance" หรือโอกาสของความน่าจะเป็น ถูกนำมาใช้เพื่อให้ผู้แต่งเป็นอิสระจากการควบคุมเสียง และการแสดงออกซึ่งรสนิยมส่วนตัว ทางเลือก ความทรงจำ ตลอดจนถึงความ "ชอบ" และ "ไม่ชอบ" ของเขา เหนือสิ่งอื่นใด การใช้วิธีการของ "chance" ยังเป็นการเลียนแบบลักษณะระบบพื้นฐานของกระบวนการทำงานของธรรมชาต ความเงียบของ 4'33" นั้นคือการเปิดไปสู่สนามแห่งอิทธิพลของทวยเทพ (divine influences) ซึ่งหมายถึงเสียงที่ไม่ได้ตั้งใจกระทำให้เกิด เพียงแต่มันอยู่ในที่รอบๆ เราตรงนั้นอยู่แล้ว โดยพร้อมให้เราได้ฟังหรือเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับมันได้อย่างเสรี แม้แต่ตัวดนตรีที่ได้รับฟังนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นของผู้ฟังไม่ใช่ของผู้แต่ง ความรับผิดชอบของผู้แต่งได้ถูกเปลี่ยนจากการ "ถ่ายทอดอารมณ์ส่วนตน" ไปเป็นการเปิดหน้าต่างสู่ "เสียงแห่งสภาพแวดล้อม"จอห์น เคจ เคยถูกถามว่า มีความจำเป็นอันใดที่ต้องสร้างดนตรีประเภทนี้ขึ้น ในเมื่อตัวดนตรีเองถึงอย่างไรก็อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว คำตอบของเขาแสดงให้เห็นถึงเจตนาของการที่จะสอนบางสิ่งบางอย่างว่า "คนส่วนใหญ่เมื่อกำลังเดินอยู่นั้น ในสมองจะเต็มไปด้วยความคิดคาดหวังมากมาย ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียวกว่าที่พวกเขาจะมีความสามารถที่จะ "ได้ยิน" หรือ "เห็น" ได้ คนส่วนใหญ่นั้นตาบอดโดยตัวเขาเอง" ดังนั้นเป้าหมายของนักประพันธ์ดนตรี (composer) จึงมีความหมายเดียวกันกับเป้าหมายของนักเผยแพร่ศาสนา (missionary) "ดนตรีคือการเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิต มันไม่ได้มีไว้เพื่อให้เข้าใจ แต่มีไว้เพื่อให้รับรู้" ปัจจุบันคนเป็นจำนวนมากในสังคมของเรา ขณะเดินทางสัญจรไปมาบนถนน ในรถประจำทางหรืออื่นๆ มักเปิดเครื่องเล่นวิทยุต่างๆโดยใช้หูฟัง ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของโลกรอบตัว เขาได้ยินแต่เสียงที่เขาเลือกฟังเท่านั้น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงตัดขาดตัวเองออกจากประสบการณ์อันเข้มข้นที่ไม่ต้องซื้อนี้ สำหรับผม สิ่งนี้แหละที่หมายถึงจุดเริ่มต้นของดนตรี และจุดจบของดนตรีคงอาจหมายถึงบรรดาแผ่นเสียงสะสมเหล่านั้นนั่นเอง อย่างไร ก็ดียังมีเหตุผลทางด้านศิลปะตลอดจนถึงเหตุผลส่วนตัวที่มีส่วนต่อการทำงานโดย การใช้แนวคิดของสุนทรียศาสตร์ ซึ่งตัวเขาเองได้เขียนไว้ในบทความชื่อ "Cage's astonishing confession" ดังนี้ การที่ผมไม่มีในสิ่งที่นักดนตรีส่วนใหญ่มี นั่นคือหูสำหรับดนตรี ผมไม่ได้ยินเสียงดนตรีที่กำลังเขียนอยู่ ผมจะได้ยินก็เฉพาะตอนที่มันถูกนำมาเล่นแล้วเท่านั้น ถ้าหากผมได้ยินเสียงของมันในขณะกำลังเขียนอยู่ ก็แปลว่าผมต้องเขียนในสิ่งที่ผมเคยได้ยินแล้ว แต่ในทางกลับกัน จากการที่ผมไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นในขณะกำลังเขียน ผมจึงสามารถเขียนในสิ่งที่ผมไม่เคยได้ยินได้ หรือหากผมมีความสามารถที่จะได้ยินเสียงใดๆ ก่อนที่มันจะดัง ก็แปลว่าผมต้องเคยเรียน "Solfege" มาก่อน ซึ่งมันก็จะฝึกให้หูของผมรับเอาระดับเสียง (pitches) หรือโน้ตที่แน่นอนจำนวนหนึ่งว่าเป็นเสียงที่ถูก ส่วนระดับเสียงอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นเป็นเสียงที่ผิด หากผมทำเช่นนั้นผมก็จะพบว่าเสียงธรรมชาติที่เกิดรอบๆ ตัวผมนั้นไม่ถูก หรือเพี้ยน (off tune) ไม่มีระบบเสียง (lack of tonality) ดังนั้นผมจึงไม่สนใจการร้อง "Solfege" ดังนั้นในการสร้างงานดนตรี ปกติแล้วผู้แต่งจะได้ยินอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะเขียนมันลงไป หรืออย่างน้อยก็จะต้องมีระบบเสียงพื้นฐานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขากำลังพยายาม ที่จะพัฒนาให้มันกลายเป็นชิ้นงานดนตรี (composition) ขึ้น ในการที่จะทำเช่นนี้ได้ จะต้องอาศัยความสามารถในการร้องและได้ยินซึ่งก็คือทักษะของ "Solfege" ตลอดจนถึงการฝึกโสต (ear training) ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่นักดนตรีทุกคนที่ผ่านหลักสูตรดนตรีที่ใช้กันทั่วโลกมาแล้วต้องมี จอห์น เคจ ได้กล่าวในที่นี้ว่ามันไม่เพียงไม่จำเป็น แต่มันยังไม่เป็นที่ต้องการอีกด้วย เขาสารภาพในที่นี้อีก เช่นกัน ถึงการที่เขาไม่สามารถได้ยินสิ่งที่เขากำลังเขียน เรื่องนี้โดยปกติแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องถือเป็นความพิกลพิการของการเป็นนักประพันธ์ดนตรีเลยทีเดียว เขาไม่ได้ยินดนตรี ก่อน ระหว่าง หรือแม้กระทั่งเมื่อมันเขียนเสร็จแล้ว เขาเขียนเพื่อที่จะได้ยินว่ามัน (โน้ตที่เขาเขียน) มีเสียงอย่างไร และเขาไม่เคยได้ยินเสียงนั้นจนกระทั่งมันถูกนำไปแสดง ดังนั้น จอห์น เคจ จึงไม่ได้ทำงานประพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียงแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังด้วยการใช้โครงสร้างทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณ แทนค่าลักษณะและการเคลื่อนไหวของเสียง จอห์น เคจ ได้กล่าว เช่นกัน ถึงกรณีที่เขาไม่สามารถกำหนดรูปแบบวิธีที่แน่นอนของ "preparation used" ในผลงานเปียโนดัดแปลงของเขา นอกจากนั้นยังบอกอีกว่า เพราะสาเหตุดังกล่าวนี้เองที่ได้ช่วยทำให้เขาก้าวไปสู่วิธีการของ "chance" เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เขาบอกว่าเพราะเปียโนทุกหลังนั้นมีความแตกต่างกัน ผลของ "preparation used" ต่อเสียงของของเปียโนไม่สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนและครอบคลุม ไม่ว่าใครจะพยายามควบคุมมันโดยวิธีใดก็ตาม ซึ่งทั้งนี้ย่อมรวมไปถึงบทบาทและหน้าที่ของวาทยากรในวงออร์เคสตร้าอีกด้วย ดังนั้นงานในยุคหลังของเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ จอห์น เคจ ถึงกับอ้างผลกระทบของ 4'33" ต่อความสำคัญที่มีกับระบบนิเวศน์ไว้ว่า เราในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ทำอันตรายแก่ธรรมชาติ เราตั้งตัวเป็นศัตรูกับธรรมชาติ เราเปลี่ยนแปลงลักษณะการเป็นอยู่และมีอยู่ของธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงต้องมีสำนึกในวันนี้ถึงหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ตามอย่างที่มันเป็น นอกจากนี้ธรรมชาติยังไม่ได้หมายถึงการแยกน้ำออกจากอากาศ หรือการแยกฟ้าออกจากดิน แต่เป็นการทำงานร่วมกันหรือการละเล่นร่วมกันของสิ่งเหล่านี้นั่นเองที่เรียกว่าระบบนิเวศน์ ดนตรีในความคิดของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศน์ นั้นเป็นถ้อยคำล้วนๆ บอกไว้ว่า ในสถานการณ์หนึ่งที่มีการทำให้เสียงของมันถูกขยายให้ดังขึ้นในอัตราที่สูงสุด (โดยไม่มีการสะท้อนกลับ) จงทำการแสดงเหตุการณ์ใดๆ ภายใต้สถานการณ์นั้น โดยพร้อมที่จะให้มีการขัดจังหวะได้ บางส่วน หรือทั้งหมดจากบุคคลอื่น และต้องไม่มีท่าทางของการแสดงใดซ้ำกัน หรือเป็นท่าทางของการแสดงดนตรี ตลอดจนไม่สร้างสิ่งใดๆ ที่เป็นการทำให้เกิดความสนใจต่อสถานการณ์นั้น (ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เวทีละคร) งานชิ้นนี้มีลักษณะของการละครอยู่ในรูปแบบ โดยมีข้อแตกต่างเรื่องเสียงเป็นอันดับแรก ซึ่งต้องมีการขยายให้ดังขึ้นในอัตราที่สูงสุด และภายใต้เวลาที่ไม่มีกำหนด ชื่องาน 0'00" หมายถึงกรอบเวลาที่ไม่สามารถวัดได้ "ผมพยายามหาวิธีสร้างดนตรีที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นกับเวลา…มันไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เพียงความต่อเนื่องในการทำงานประจำวันของคนคนหนึ่ง สิ่งที่งานชิ้นนี้ต้องการบอกคือ ทุกสิ่งที่เราทำเป็นดนตรี หรือกลายเป็นดนตรีได้ด้วยการใช้ไมโครโฟน ดังนั้นทุกสิ่งที่ผมกำลังทำ ถ้าไม่นับสิ่งที่กำลังพูด ต่างทำให้เกิดเสียงทั้งสิ้น" ในผลงานชื่อ "the Music of Changes" (ค.ศ. 1951) นั้น แต่งขึ้นโดยใช้แนวคิดจากตำรา "อี้จิง" (I Ching) หรือ "คัมภีร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง" (Book of Changes) ซึ่งบ่อยครั้งมักถูกถือเป็นจุดเปลี่ยนในแนวคิดสุนทรียศาสตร์ของ จอห์น เคจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่มันใช้หลักการของ "chance" ซึ่ง จอห์น เคจ บอกว่ามันถูกเขียนขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกันกับ 4'33" อย่างไรก็ดี "the Music of Changes" มีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับงานในแบบดั้งเดิม (conventional) ถึงแม้จะแต่งโดยยึดวิธีการของ "chance operation" (หมายถึงวิธีในลักษณะที่ใช้การเสี่ยงทาย เช่น การทอยลูกเต๋า หรือเลือกไพ่เป็นต้น) แต่มันก็ถูกเขียนโดยใช้วิธีการเขียนตามลักษณะของระบบการบันทึกโน้ตปกติ และใช้เครื่องดนตรีปกติในการเล่น แต่ 4'33" นั้นกลับเปิดทางไปสู่โลกของเสียงแห่งสภาพแวดล้อม อีกทั้งยังใช้วิธีการบันทึกโน้ตแบบใหม่ที่ จอห์น เคจ คิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นมันยังไม่ได้ถูกแสดงตามแบบอย่างดั้งเดิม หรือด้วยเสียงปกติของเครื่องดนตรีทั่วไป แต่เครื่องดนตรีของมันคือเสียงของสภาพแวดล้อม 4'33" ใช้สนามทั้งหมดของเสียงที่ไม่ตั้งใจกระทำ (unintentional sounds) และยอมให้เสียงเหล่านั้นแทรกซึมสู่กัน (interpenetration) ได้ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ "the Music of Changes" ไม่มี นอกจากนั้น 4'33" ยังมีลักษณะในแบบทำนายไม่ได้ (indeterminate) แต่ "the Music of Changes" ไม่ใช่ ดังนั้น 4'33" จึงเป็นตัวอย่างผลงาน ที่ครอบคลุมแนวคิดสุนทรียศาสตร์ใหม่ที่ฉีกตัวออกไปอย่างสุดขอบ (radical) โดยสิ้นเชิงของ จอห์น เคจ ได้สมบูรณ์มาก กว่าผลงานชิ้นอื่นใดของเขา อีกทั้งยังเป็นข้อต่อซึ่งเชื่อมจุดเปลี่ยนของแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ของเขาด้วย ผลงานของ จอห์น เคจ ก่อนหน้าและหลังจาก 4'33" นั้น ใช้พื้นฐานแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วยเหตุนี้ 4'33" จึงถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงปรัชญาดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตของเขา และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์งานดนตรี จึงถือได้ว่า จอห์น เคจ เป็นบุคคลคนหนึ่งซึ่งทำให้งานประพันธ์ทางด้านเสียง และงานดนตรีสมัยใหม่ ได้เกิดขึ้นมาในรูปแบบและจากแนวคิดต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไปจนเขาสามารถรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและเสียงนั้นเกิดขึ้นจากสิ่งใดจนกระทั่งได้นำไปประยุกต์ใช้ทางด้านเสียง และงานดนตรี ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้เอง บรรณานุกรม บรรจงศิลป์.แนวความคิดเกี่ยวกับดนตรี.วารสารเพลงดนตรี.10(6) ,70-73.2547. ประสิทธิ์ เลียวสิริพงศ์.ประวัติดนตรีตะวันตกโดยสังเขป.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: จงเจริญการพิมพ์ .2538. ไพบูลย์ กิจสวัสดิ์. คีตกวี ปรัชญาเมธีแห่งภาษาสากล.พิมพ์ครั้งที่ 3.กรุงเทพฯ:วัชระออฟเซ็ท.2535. สุรัตน์ เขมาลีลากุล และอติภพ ภัทรเดชไพศาล. วารสารเพลงดนตรี. The Sound of Silent: John Cage and 4'33" ของ Larry J Solomon.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหิดล, 2545. Stolba, K. Maria. The Development of Western Music-A History, second edition, Mcgraw-Hill.1990,1994. Kennedy, Michael. The Oxford Dictionary of Music. Oxford University Press.1985.
+ Music and Its Other Noise, Sound, Silence
+ เทคโนโลยีระบบเสียงภายในสถานีวิทยุ
I
Graphic Design
I Sound Design I
Web Design
I
3D Animation
I