ความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎี ประวัติศาสตร์ของสังคมทุกสังคมที่เคยมีอยู่ ล้วนคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้น”Karl Marx Marx และ Neo – Marxism กับ Cultural Studies ผู้แต่ง ศศิริษา บทนำ แนวคิดวัฒนธรรมศึกษาได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของ Karl Marx ตามสำนัก Marxism โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Neo – Marxism ซึ่งมีการพัฒนาและต่อยอดแนวคิดพื้นฐานของ Marx ที่ส่งผลชัดเจนต่อการศึกษาวัฒนธรรมในบริบทของสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎีอันนำมาสู่การเรียนรู้และลำดับความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนของมนุษย์กับสังคม การศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎีจึงมีความจำเป็นในการทำความเข้าใจ Marxism อย่างละเอียด นอกจากการศึกษาเนื้อหาของทฤษฎีเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงฐานความคิดแล้ว จำเป็นต้องศึกษาเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ บรรยากาศทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นใน ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีของกลุ่ม Neo-Marxism และแนวคิดวัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies) การศึกษาความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎีของ Marx และ Neo – Marxism กับวัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies) เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของ Marx เพื่อนำมาสู่การพัฒนาแนวคิดของกลุ่ม Neo-Marxism ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางวัฒนธรรมหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโครงสร้างส่วนบน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางสังคมในระบบทุนนิยม รวมถึงการศึกษาพัฒนาการทางแนวคิดวัฒนธรรมศึกษาที่ได้ผสานรากความคิดแบบวัฒนธรรมนิยมหรือ culturalism เข้ากับกระบวนทัศน์แบบโครงสร้างนิยมหรือ structuralism กลายเป็นการศึกษาโครงสร้างส่วนบนในนิยามแบบ Marxism กล่าวได้ว่า Marx และNeo – Marxism กับ Cultural Studies มีส่วนที่เป็นแนวคิดพื้นฐานทางทฤษฎีร่วมกัน คือ การปลดปล่อย (emancipation) อำนาจการครอบงำเพื่อไปสู่ความเท่าเทียมในสังคม เพื่อให้เกิดการสรุปวิเคราะห์อย่างชัดเจนในการศึกษาความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎีของ Marx และ Neo – Marxism กับ Cultural Studies ดังนั้นการค้นคว้าศึกษาจึงเริ่มต้นจากนักคิดเพื่อนำไปสู่การทำความเข้าใจพัฒนาการของทฤษฎี และวิธีคิดในแต่ยุคตามความแตกต่างของมุมมองนักคิดและการเปลี่ยนแปลงของสังคม ดังนี้ 1. Marx : นักปฏิวัติและนักวิชาการ [1] Karl Marx เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1818 ที่เมืองทริเอร์ ในรัฐไรน์แลนด์ ประเทศ ปรัสเซีย ได้เข้าศึกษาวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1837-1841 จนจบปริญญาเอกทางด้านปรัชญา ซึ่งการศึกษาปรัชญาในเยอรมันนี และยุโรปในช่วงนั้นได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดของ Hegel เป็นอย่างมาก หลังจากที่จบการศึกษา Marx ได้ทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลังจากที่หนังสือพิมพ์ถูกสั่งปิดในปี ค.ศ. 1843 Marx ได้เดินทางไปฝรั่งเศส และได้พบกับ Frederic Engels บุตรชายของเจ้าของโรงงานทอผ้าผู้ร่ำรวยผู้ซึ่งมีความสนใจระบบสังคมนิยมเช่นเดียวกับ Marx และได้กลายมาเป็นเพื่อนและผู้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ Marx และครอบครัว ตลอดเวลา Marx และ Engels ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีผลงานร่วมกันหลายชิ้นด้วยกัน Marx ถูกขับออกจากประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1845 เพราะการแสดงออกแนวคิดทางการเมือง จากนั้น Marx และ Engels ได้เดินทางไปอยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยม ในปี ค.ศ. 1847 Marx ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของสมาคมคอมมิวนิสต์แห่งกรุงบรัสเซลล์ และเป็นผู้นำกรรมกรในการปฏิวัติ แต่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทำให้ Marx ถูกเนรเทศอีกครั้ง จากนั้น Marx ได้เดินทางไปอยู่ฝรั่งเศส เยอรมันนีตอนใต้ และกรุงลอนดอนเป็นที่สุดท้ายและพำนักอาศัยอยู่ที่นี่จนถึงบั้นปลายชีวิต ในปี ค.ศ.1883 ขณะนั้น Marx ได้เริ่มนำเอาหลักปรัชญา” จิตนิยมวิภาษวิธี” (dialectical idealism) ของ Hegel มาประยุกต์ใช้ แนวความคิดพื้นฐานของ Hegel มีอยู่ว่า (1) จิตใจ(ความคิด) ของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏอยู่และเป็นจริงได้เพราะจิตใจมนุษย์รับรู้ (2) จิตใจมนุษย์นั้นทำงานในรูปกระบวนการ(process) (3) กระบวนการนั้นคือกระบวนการวิภาษวิธี จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงและทำงานอยู่ตลอดเวลา จิตใจมนุษย์ทำงานอยู่ในรูปของการเสนอความคิด(idea) และความพยายามที่จะหาความขัดแย้ง (conflicting idea) ซึ่งทำให้เกิดความคิดใหม่ (synthesis) แล้วก็เกิดความขัดแย้งต่อไปไม่สิ้นสุด จากการศึกษาหลักปรัชญาจิตนิยมของ Hegel ส่งผลให้ Marx ปฏิเสธหลักปรัชญาจิตนิยม แต่เชื่อว่าวัตถุ (material) เท่านั้นที่เป็นสิ่งจริงแท้ ความคิดและการทำงานของจิตใจนั้นเป็นเพียงการสะท้อนออกของวัตถุและ”สภาพสังคม”ที่ถูกกำหนดโดยวัตถุ Marx เชื่อว่าหลักการวิภาษวิธีนั้นสามารถนำมาใช้กับปรัชญาวัตถุนิยม เพื่ออธิบายสังคมและการเปลี่ยนแปลงสังคมได้เป็นอย่างดี ปรัชญาของ Marx จึงได้รับการขนานนามในภายหลังว่า วัตถุนิยมวิภาษวิธี(dialectical materialism) ในการมองสังคมนั้น Marx ได้แบ่งแยกโครงสร้างสังคม (Social Structure) ออกเป็นสองส่วนคือ (1) โครงสร้างส่วนล่าง (Infrastructure) หรือระบบเศรษฐกิจอันประกอบด้วยวิธีการผลิต (Mode of Production) และความสัมพันธ์ทางการผลิต (Relation of Production) และ (2) โครงสร้างส่วนบน (Superstructure) อันประกอบด้วยการเมืองการปกครอง (Political system) ระบบความคิด (ideology) ความเชื่อ และค่านิยมทางสังคมต่างๆ Marx เชื่อว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งถูกกำหนดโดยวิธีการผลิต (Mode of production) นั้นจะเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม (Structure of social relation) อันก่อให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นขึ้นมา ในทุกสังคมจะมีชนชั้นสองชนชั้น ชนชั้นแรกคือชนชั้นปกครอง ผูกขาดเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตทั้งหมด เอารัดเอาเปรียบและกดขี่ข่มเหง อีกชนชั้นหนึ่งคือ ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ชนชั้นปกครองจะพยายามพัฒนาเทคนิคทางการผลิตให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และการกดขี่ข่มเหงก็จะเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันชนชั้นผู้ใช้แรงงานก็จะเกิดความรู้สึกแปลกแยก (alienation) เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกแปลกแยกนี้เองทำให้เกิดสำนึกทางชนชั้นและเกิดการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของชนชั้นปกครองในที่สุด ขณะเดียวกัน Marx เชื่อว่าประวัติศาสตร์คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ความขัดแย้งดังกล่าวมีสาเหตุมาจากแปลกแยกและความสำนึกทางชนชั้นที่เกิดขึ้นเพราะ 1) คุณค่าของมนุษย์ถูกลดทอนลง เหลือเพียงสินค้า เพื่อผลกำไรของนายทุน 2) การแบ่งแยกงาน ทำให้ผู้ผลิตถูกลดค่าลงเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆของเครื่องจักร ความพึงพอใจในงานที่ตนเองทำถูกทำลายลง 3) ค่าจ้างที่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานได้รับเป็นส่วนแบ่งเล็กๆน้อยๆเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่นายทุนได้รับ จะเห็นได้ว่ามีมูลค่าส่วนเกิน(surplus value)หลงเหลืออยู่มาก ชนชั้นผู้ใช้แรงงานต้องทำงานอย่างหนัก แต่ได้รับค่าตอบแทนพอใช้ประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆเท่านั้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ชนชั้นผู้ใช้แรงงานเกิดความรู้สึกแปลกแยก เกิดความรู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบมากเกินไป ชนชั้นผู้ใช้แรงงานจึงมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านชนชั้นนายทุน และก่อการปฏิวัติตามทัศนะของ Marx จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความขัดแย้งระหว่างชนชั้นทั้งสองเกิดขึ้นอย่างรุนแรงถึงขีดสุด และผลของการปฏิวัตินั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการผลิตและรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิต คือเกิดการจัดรูปแบบโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมขึ้นมาใหม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงจากสังคมศักดินาไปสู่สังคมแบบทุนนิยม สรุปแนวคิดพื้นฐานของ Marx [2] 1) วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (Historical Materialism) ฐานคิดที่สำคัญที่สุดของหลักการนี้คือ กิจกรรมทางสังคมได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัญหาด้านวัตถุที่เกี่ยวกับการผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปัญหาเหล่านี้ได้นำไปสู่การกระทำกิจกรรมทางสังคม วิธีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการผลิตวัตถุเหล่านี้ แตกต่างกันออกไปจากยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ยุคหนึ่ง และรูปแบบของสังคมที่สอดคล้องกันไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง ในสังคมทุนนิยมสมัยใหม่ ปริมณฑลของการทำงานและการจัดระเบียบสังคมในรูปของการแบ่งงานกันทำสามารถตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิตของมนุษย์ไม่เพียงแต่ความจำเป็นพื้นฐาน เช่นอาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่สินค้าและการบริการอื่นๆที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ได้ถูกผลิตขึ้นมาในระบบเศรษฐกิจที่มีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี 2) พัฒนาการของสังคม มุมมองอีกด้านหนึ่งของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์คือ สังคมใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาจากรูปแบบสังคมสมัยก่อนหน้า ซึ่ง Marx มองเห็นขบวนการที่ก้าวหน้าจากสังคมเผ่าในยุคสมัยแรกๆ ผ่านสังคมโบราณอย่างเช่น กรีกและโรมัน ไปสู่สังคมฟิวดัลในยุคกลาง จนมาถึงรูปแบบของสังคมทุนนิยมสมัยใหม่ในที่สุด (Marx เรียกสังคมรูปแบบนี้ว่า”กระฎุมพี” เนื่องจากบทบาทที่ครอบงำของชนชั้นกระฎุมพีหรือชนชั้นกลางที่เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม) สำหรับ Marx ขั้นตอนสุดท้ายของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์ คือ การโค่นล้มระบบทุนนิยมด้วยการลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และการสถาปนาสังคมคอมมิวนิสต์ แทนที่ปัญหาเรื่องความถูกต้องและความเป็นไปได้ของความคิดของ Marx เกี่ยวกับพัฒนาการของสังคมจะนำไปสู่การตั้งประเด็นที่มีความซับซ้อน แต่กลับกลายเป็นหัวข้อวิวาทะของทฤษฎีในประเด็นที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือ Marx เป็นผู้เสนอเรื่องความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์และชี้ให้เห็นว่าสังคมต้องพัฒนาการตามกระบวนการดังกล่าวนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 3) สังคมในฐานะเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์(Societies as Historical) ทั้งสองประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของมิติด้านประวัติศาสตร์ที่มีต่อการวิเคราะห์สังคม Marx เชื่อว่าเท่าที่ผ่านมามักหลงลืมไปว่ารูปแบบของสังคม (ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ครอบงำ) เป็นผลผลิตของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะในปริมณฑลทางเศรษฐกิจ ในแง่นี้เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจสังคมทุนนิยมในบริบทของสังคม และความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นก่อนหน้ารูปแบบต่างๆของความไม่เท่าเทียมกันทางชนชั้น และความสัมพันธ์ทางอำนาจจะต้องถูกมองว่าเป็นผลผลิตที่มีลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยมิได้เป็นสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ Marxเน้นว่าการจัดระเบียบทางสังคมก็เป็นผลผลิตของมนุษย์ด้วยเช่นกัน ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยความคิด หรือเป้าหมายทางการเมืองที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม Marx ก็เน้นอีกด้วยว่า เราจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าประวัติศาสตร์ ในที่นี้คือ ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะชนชั้นทางสังคมเพื่อสถาปนาการครอบงำในปริมณฑลของการผลิต(เศรษฐกิจ)และการเมือง 4) ความสำคัญของพื้นฐานทางเศรษฐกิจ(Economic Base) ความคิดพื้นฐานของ Marxส่วนใหญ่วางอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่าสถาบันทางเศรษฐกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรกในสังคม คนที่เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าและบริการ(ชนชั้นกลาง) เป็นผู้ที่มีอำนาจ พวกเขาได้รับผลประโยชน์จากการขูดรีดชนชั้นกรรมกรที่ทำงานอยู่ในสถานประกอบการของพวกเขา ตามความคิดของ Marx ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่อยู่ในลักษณะของการขูดรีดนี้เป็นรากฐานสำคัญของทุนนิยม สถาบันทางการเมือง กฎหมายและศาสนาล้วนก่อตัวขึ้นมาจากพื้นฐานนี้และทำหน้าที่รองรับความถูกต้องชอบธรรมและปิดบังความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบเศรษฐกิจ Marx ต้องการชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ(โครงสร้างส่วนล่าง)และสถาบันต่างๆที่เกิดขึ้นจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจ(โครงสร้างส่วนบน) 5) การแบ่งแยกชนชั้น(Class Division) นอกจาก Marx ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างโครงสร้างส่วนบนและโครงสร้างส่วนล่างแล้ว Marx ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการแบ่งแยกชนชั้นที่เกิดขึ้นภายในสังคม ตัวแบบพื้นฐานเรื่องชนชั้นของ Marx ในสังคมสมัยใหม่ทั้งหลายประกอบด้วย สองชนชั้น โดยชนชั้นที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต จะแสดงอำนาจเหนือชนชั้นกรรมกรไร้สมบัติ ส่วนบรรดากลุ่มที่อยู่คั่นกลาง (intermediate groups) จะถูกดึงเข้ามาอยู่กับชนชั้นใดชนชั้นหลักทั้งสองชนชั้น การแบ่งแยกชนชั้น วางอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่มีลักษณะขูดรีดโดยที่ชนชั้นที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตจะดูดซับเอามูลค่าที่ชนชั้นกรรมกรผลิตได้ในรูปแบบของผลกำไรมากกว่าที่จะตอบแทนในรูปของค่าจ้างที่เป็นธรรม ความสัมพันธ์ของการครอบงำนี้สามารถดำรงอยู่ได้เนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องทรัพยากรอำนาจ ชนชั้นที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต มีเงินทุน ทรัพย์สินและกฎหมายที่ถือหางฝ่ายตนอยู่ในมือ ขณะที่บรรดากรรมกรมีแต่เพียงพลังแรงงานติดตัวเท่านั้น ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้จึงมีพื้นฐานอยู่บนความขัดแย้งผลด้านประโยชน์ที่พร้อมจะปะทุเป็นความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์กัน ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว Marx คาดการณ์ว่าในที่สุดชนชั้นกรรมกรจะตระหนักถึงลักษณะที่แท้จริงของสถานะที่ถูกขูดรีดของพวกตน และลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มระบอบที่กดขี่และกักขังพวกตนเอาไว้ ในการลุกฮือขึ้นมาปฏิวัตินี้ ชนชั้นกรรมกรจะสถาปนาสังคมคอมมิวนิสต์ ที่คนในสังคมมีความเท่าเทียมกันขึ้นมาแทนที่สังคมกระฎุมพี นี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น สิ่งที่ Marx คาดการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่ง Marx ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ เช่น การเติบโตของชนชั้นกลางใหม่ เป็นต้น 6) ความแปลกแยก(Alienation)ภายใต้ระบบทุนนิยม Marx ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบทางด้านจิตวิทยาที่เกิดขึ้นจากการมีชีวิตอยู่ในโลกที่มีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์และอำนาจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่ตกเป็นเบี้ยล่างนั้น ปัญหาที่เกิดจากการถูกกระทำให้ไร้อำนาจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก “ความแปลกแยก” เป็นคำที่ Marx ใช้เพื่ออธิบายให้เห็นถึงสภาวะทางด้านจิตวิทยาที่เกิดขึ้นกับบุคคลและกลุ่มทั้งหลายที่ไม่สามารถควบคุมเงื่อนไขในการดำรงชีวิต สภาพการทำงาน และอนาคตการทำงานของพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับ Marx แล้ว ภายใต้ระบบทุนนิยมนี้ความแปลกแยกสามารถยกระดับไปสู่พลังการโค่นล้มได้ และนี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประวัติศาสตร์ สภาพการทำงานที่ถูกทำให้ไร้ความเป็นมนุษย์และสภาพการดำรงชีวิตเกิดขึ้นภายใต้ระบบตลาดเสรีที่มุ่งผลกำไรของทุนนิยม ในระบบเช่นนี้มนุษย์ถูกตีราคาจากมูลค่าแรงงานที่พวกเขาสร้าง กล่าวคือ พวกเขาสามารถสร้างผลกำไรได้มากน้อยเพียงไรให้กับนายจ้างด้วยพลังแรงงาน(ทั้งแรงงานกายและแรงงานสมอง) อันเป็นสมบัติเพียงอย่างเดียวที่พวกเขามีติดตัว การสูญเสียความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ และมนุษย์รู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้รู้สึกตัดขาดจากตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาหรือจากคนอื่นๆ 7) การวิเคราะห์อุดมการณ์ การวิเคราะห์บทบาทและการทำหน้าที่ของอุดมการณ์ในสังคมสมัยใหม่ของ Marx มองว่าค่านิยมและปทัสถานไม่ได้เป็นการแสดงออกซึ่งเจตจำนงของเสียงข้างมากที่มีลักษณะเป็นกลางและบริสุทธิ์ แต่ค่านิยมและปทัสถานมีลักษณะเป็นอุดมการณ์ในแง่ที่สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และค่านิยมของชนชั้นกระฎุมพีที่ปกครอง อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบของอุดมการณ์อย่างเช่น ศาสนา การเมือง และศีลธรรม ก็มีหน้าที่ทำให้กลุ่มที่ตกเป็นเบี้ยล่างให้การยอมรับ ด้วยการปิดบังว่าองค์ประกอบของอุดมการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องของค่านิยมและผลประโยชน์ที่เป็นสากล หรือเป็นของทั้งสังคม ดังนั้นสำหรับ Marx แล้วค่านิยมและปทัสถานที่ครอบงำเป็นอุดมการณ์ในแง่ที่ว่ามันทำหน้าที่รองรับความถูกต้องให้กับอำนาจของชนชั้นปกครอง อุดมการณ์ทำหน้าที่ดังกล่าวได้ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเป็นเรื่องธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไม่ได้และเป็นสากล ดังนั้นการจัดระเบียบอำนาจที่เป็นอยู่ขณะนั้นจึงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่เกิดจากการต่อสู้เพื่ออำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆในสังคม และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการต่อสู้ อุดมการณ์จึงทำหน้าที่บิดบังความสัมพันธ์ทางอำนาจและทำให้กลุ่มที่ตกเป็นเบี้ยล่างไม่สามารถตระหนักถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของตนได้ ข้อสังเกตเรื่องอุดมการณ์ของ Marx ได้ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างระหว่าง “สิ่งที่เป็นจริง” และ ”สิ่งที่จอมปลอม” ในปริมณฑลของความคิด 2. Neo – Marxism การศึกษากลุ่ม Neo-Marxism ในงานวิชาการของประเทศไทย พบว่ามีผู้ศึกษาและนิยามความหมายไว้อย่างหลากหลาย เช่น วิทยากร เชียงกูล [3] อธิบายว่า ” Neo – Marxism (คติมาร์กซิสม์ใหม่) หมายถึง คติมาร์กซิสม์ ที่มีการปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในทางความเป็นจริงและพัฒนาการทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่นักคิด Marxist รุ่นคลาสสิก ไม่ได้รับรู้และไม่มีประสบการณ์” กลุ่ม Marxist ใหม่กลุ่มแรก ปรากฏในช่วงปี 1930-1955 เน้นทฤษฎีเศรษฐกิจโดยเฉพาะในเรื่องโมเดลของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและการจัดการทรัพยากรอย่างมีเหตุผล ในระบบเศรษฐกิจวางแผนจากส่วนกลาง นักคิดที่พยายามปรับปรุงการตีความแบบ Marx ในกลุ่มนี้มี M.Dobb, O.Sweezy และ Joan Robinson กลุ่มที่สองเป็นปฏิกิริยาต่อการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 20 ของโซเวียตปี 1956 เน้นเรื่องนโยบายทางการเมือง การจัดการ การบริหารเศรษฐกิจ ส่วนจากข้อมูลจาก dictionary ของกลุ่มนักวิชาการในเว็บไซด์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวว่า “Neo – Marxism เป็นสกุลความคิดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่หวนกลับมาพูดถึงงานเขียนในช่วงต้นๆของ Marx ก่อนการมีอิทธิพลของ Engels ซึ่งได้โฟกัสลงไปที่จิตนิยมวิภาษวิธี (dialectical idealism) มากกว่าวัตถุนิยมวิภาษวิธี (dialectical materialism) และปฏิเสธเรื่องของนิยัตินิยมทางเศรษฐกิจของ Marx ในช่วงต้นๆ โดยได้โฟกัสไปที่การปฏิวัติในทางจิตวิทยา ไม่ใช่เรื่องกายภาพหรือวัตถุ” แนวคิดนี้ค่อนข้างมีลักษณะของนักเสรีนิยม และสัมพันธ์กับสายพันธุ์ทั้งหลายของลัทธิอนาธิปไตยมาก โดยกล่าวถึงการเน้นที่ความชั่วร้ายด้านต่างๆของลัทธิทุนนิยมโลก บรรดา Neo – Marxist ที่โดดเด่นมีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น Marcuse ฯลฯ โดยกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนเป็นนักสังคมวิทยาและนักจิตวิเคราะห์ นอกจากนี้แนวของของนักเสรีนิยมยังผูกมัดอย่างเหนียวแน่นกับขบวนการนักศึกษาของช่วงปีทศวรรษที่ 60s. ซึ่งกลุ่ม Neo – Marxism เป็นที่รู้จักภายใต้ป้ายฉลากกว้างๆว่า ความคิดซ้ายใหม่ (New Left thinking) ในด้านสังคมวิทยา Neo – Marxism ได้ผนวกความเข้าใจกว้างๆของ Max Weber เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมของสังคมเข้ามาด้วย อย่างเช่น สถานภาพและอำนาจสู่ปรัชญา Marxist สายพันธุ์ต่างๆ Neo – Marxist รวมถึง Hegelian-Marxism, Critical Theory, Analytical Marxism, and French – Structural Marxism (or structuralism) ภายหลังการมรณกรรมของของ Marx ทฤษฎี Marxism ได้แบ่งออกเป็นหลายสกุล ได้แก่Marxism ดั้งเดิม ซึ่งได้แยกเป็น สายเคาท์สกี้ สายเบอร์นสไตน์ และสายโซเวียต ซึ่งเชื่อว่าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การปฏิวัติโค่นล้มรัฐทุนนิยมจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเศรษฐกิจทุนนิยมเร่งความขัดแย้งทางชนชั้นจนสุกงอมเต็มที่จนกลายเป็นวิกฤติของสังคม จากการศึกษา Neo – Marxism เพื่อให้เกิดความเข้าใจในบริบทเนื้อหาทางทฤษฎีและแนวคิดของนักคิดแต่ละสำนัก พบว่าสามารถแบ่งแนวคิดแบบ Neo – Marxism ออกเป็น 4 สำนัก ดังนี้ 2.1 Western Marxist ( มาร์กซ์ ตะวันตก ) [4] Western Marxist กำเนิดขึ้นในปี 1920 ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์แนวคิด Marx ดั้งเดิม โดยเฉพาะประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ไม่เห็นภาพรวมของสังคม โดยนักคิดของกลุ่มนี้ได้เสนอให้ศึกษามิติทางจิตสำนึกของสังคม ทั้งนี้เพราะการบรรลุเป้าหมายทางสังคมนิยมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เมื่อมนุษย์สำนึกในเป้าหมาย และกระทำการเปลี่ยนแปลงสังคม บนพื้นฐานความเข้าใจอย่างสำนึกในตนเอง และจิตสำนึกยังเป็นพลังในการปฏิวัติด้วย รวมถึงประเด็นการครอบงำทางจิตสำนึกที่ผู้ปกครองกระทำต่อชนชั้นผู้ถูกปกครอง ประเด็นที่นักทฤษฎีสายนี้มีความสนใจร่วมกัน คือ (1) ความสนใจเรื่องวัฒนธรรม หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโครงสร้างส่วนบน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมทุนนิยม (2) ลักษณะเชิงวิพากษ์ โดยมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์คืออาวุธทางปรัชญา ที่จะใช้ต่อสู้กับกฎทางสังคมทั้งหลายที่สร้างขึ้นมาจากความคิดเชิงสาเหตุ (3) จุดยืนทางญาณวิทยา โดยมองว่า Marx ดั้งเดิม ให้ความสำคัญกับ ญาณวิทยาแนววัตถุนิยม(Materialism)โดยละทิ้งญาณวิทยาแบบ จิตนิยม(Idealism) ซึ่งเป็นปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับจิตในทางปฏิบัติ โดยหันกลับไปรื้อฟื้นปรัชญาจิตนิยมวิภาษวิธีของเฮเกลอีกครั้ง (4) การนำแนวความคิดทฤษฎีอื่นๆมาผสมผสาน นอกจากการกลับไปหาเฮเกลแล้ว Marxist ตะวันตก ได้เอามโนทัศน์สำคัญของสกุลอื่นๆ เช่น ทฤษฎีทางสังคมของ Max Weber ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Sigmund Freud มาใช้ร่วมกับมโนทัศน์ของ Marxism ด้วย นักคิดคนสำคัญของกลุ่ม Western Marxist ได้แก่ จอร์จ ลูแคส (Georg Lukass ) และ แอนโตนิโอ แกรมชี (Antonio Gramsci) โดยมีแนวความคิดที่สำคัญและเป็นรากฐานให้กับสายวัฒนธรรมศึกษาดังนี้ 2.1.1 จอร์จ ลูแคส (Georg Lukass) ชาวฮังการี่ เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง History and Class consciousness โดยอธิบายว่าชนชั้นแรงงานเป็นทั้งประธานและกรรมรวมที่แยกไม่ออก (Identical Subject Object ) ของประวัติศาสตร์ในระบบทุนนิยม ความสัมพันธ์ทางสังคมถูกเปลี่ยนให้เป็นสิ่งของแบบภววิสัย แต่ชนชั้นคนงานสามารถที่จะเข้าใจส่วนทั้งหมดของสังคม (social Totality) ได้ Lukass ได้ให้แนวคิดที่สำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก การสร้างตัวตนทางความคิด(reification) หมายถึง การตกเป็นทาสของวัฒนธรรมของมนุษย์โดยลุ่มหลงอย่างไร้สติ ไร้ความทรงจำ ว่า มนุษย์เองนั่นแหละเป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา โดยเฉพาะลัทธิคลั่งไคล้สินค้า (fetishism of commodities) ประการที่สอง คือสำนึกที่ผิดพลาดทางชนชั้น (False consciousness) โดยการคิดว่าชนชั้นอื่นดี ทั้งๆที่ชนชั้นนั้นกำลังครอบงำชนชั้นตนอยู่ การคิดเช่นนี้ทำให้อุดมการณ์แห่งชนชั้นได้บิดเบี้ยวไป ขาดความซื่อสัตย์แห่งสำนึกของชนชั้นตน เมื่อเป็นเช่นนี้การปฏิวัติจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 2.1.2 แอนโตนิโอ แกรมชี Antonio Gramsci (1891-1937 ) [5] Gramsci เป็นนักทฤษฎี Marxist และนักปฏิวัติชาวอิตาลี ผู้มีส่วนก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี ในปี 1920 ขณะที่เป็นเป็นบรรณาธิการวารสารฝ่ายซ้าย และเป็น ส.ส.ในสภา เขาถูกเผด็จการฟาสซิสต์มุสโสลินีจับขังคุกในปี 1926 จนกระทั่งเสียชีวิตในคุก แม้จะมีเงื่อนไขที่จำกัดรวมทั้งสุขภาพไม่ดี แต่เขายังแอบเขียนงานทฤษฎีออกมาและได้มีการลักลอบนำออกมาตีพิมพ์ข้างนอกในหนังสือรวมงานเขียนชื่อ Prison Note book ซึ่งตีพิมพ์ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว Gramsci ได้เสนอแนวคิดเรื่อง Hegemony หรือ ภาวะการนำ ซึ่งแนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อพวก Marxist ชาวยุโรปผู้ไม่พอใจระบบคอมมิวนิสต์แบบเถรตรงในสหภาพโซเวียต และเห็นว่า Gramsci สามารถวิเคราะห์สังคมได้สมจริงและมีมนุษยธรรมมากกว่า แก่นของทฤษฎีการครองครองความเป็นใหญ่ / การครอบครองความเป็นเจ้า (Hegemony) ก็คือ การพยายามจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความมีเสถียรภาพของอำนาจทางการเมือง และการควบคุมทางสังคมในสังคมทุนนิยมประชาธิปไตย ตลอดจนพยายามอธิบายการเกิดขึ้นของภาวะวิกฤติต่างๆ การเกิดสงครามโลก หรือแม้แต่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ Gramsci ได้แสดงความเห็นว่า พลังอำนาจทางการเมืองในประเทศเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ได้ถูกแสดงผ่านรูปแบบที่รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น ในลักษณะของการจองจำนักโทษการเมืองในคุก การสังหารผู้ประท้วงคัดค้าน แต่พลังอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงได้ถูกใช้ผ่าน "อุดมการณ์" (ideology) หรือ ทัศนคติ / มุมมองที่สำคัญในการมองโลก ซึ่งความคิดและสัญลักษณ์ต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นอุดมการณ์โดยทั่วไปจะถูกกำหนดขึ้นมาโดยผู้ปกครอง ด้วยอำนาจที่ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและ "อุดมการณ์" นี้เองที่เป็นตัวช่วยให้ผู้ปกครองสามารถปกครองพลเมืองของตนได้อย่างราบรื่น หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นที่ยอมรับของพลเมือง (เป็นการยอมรับด้วยใจไม่ใช่ด้วยการบังคับ / ใช้กำลัง) ในทัศนะของ Gramsci กลไกหรือพลังที่ใช้ในการควบคุมปกครองสังคมนั้นมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่ Marx คิด โดย Marx สนใจนำชนชั้นปกครองไปผูกอยู่กับการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เช่น ใครคือเจ้าของโรงงาน, ที่ดิน, เครื่องจักร หรืออะไรก็ตามที่ใช้ผลิตผลผลิตได้ ส่วน Gramsci มองว่าสังคมจะถูกปกครองโดยคนกลุ่มหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งๆ พอช่วงเวลาผ่านไปก็เป็นไปได้ที่กลุ่มอื่นจะขึ้นมามีอำนาจแทน ดังนั้นในมุมมองของ Gramsci กลุ่มที่ทำหน้าที่ปกครองสังคมจะเรียกว่า "historical bloc" หรือกลุ่มประวัติศาสตร์ ลักษณะของ" historical bloc" คือ กลุ่มคนที่มาจากกลุ่มต่างๆไม่จำเป็นต้องเป็นชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง แต่มีผลประโยชน์ร่วมกัน และมีการแบ่งสรรอำนาจทางการเมืองกันได้ลงตัวในห้วงเวลาหนึ่ง (คือ เป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ตกลงกันได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ) 2.2 สำนักแฟรงค์เฟริ์ตกับทฤษฎีวิพากษ์ (Frankfurt School of Critical theory) [6] แนวความคิดในเรื่องการวิพากษ์ ของกลุ่ม Western Marxist ได้มีอิทธิพลต่อปัญญาชนในประเทศเยอรมัน จนเกิดการรวมตัวกันอย่างหลวมๆของนักคิดต่างสาขาที่มีความสนใจแนวคิดแบบมาร์กซิสม์ ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดและจุดร่วมของกลุ่มจะเกี่ยวข้องกับความคิดของมาร์กซ์ แต่ก็เป็นการยอมรับแบบมีเงื่อนไขและมีลักษณะเชิงวิพากษ์ และได้มีการหยิบยืมความรู้ของศาสตร์อื่นเข้ามาวิเคราะห์ในประเด็นปัญหาร่วมสมัย ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ในเรื่องของกระบวนการแรงงานหรือการต่อสู้ทางชนชั้นตามแนวทางมาร์กซิสม์ดั้งเดิม สถาบันวิจัยสังคม(Institute for Social Research) หรือสำนัก” แฟรงก์เฟิร์ต” ก่อตั้งขึ้นในปี 1923 โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต และ ในปี 1933 สมาชิกส่วนใหญ่ได้อพยพไปลี้ภัยในสหรัฐฯในสมัยนาซีมีอำนาจในเยอรมัน สมาชิกคนสำคัญประกอบด้วย Max Horkheimer , Theodor Adorno ,Walter Benjamin, Herbert, Marcuse และ Jugen Habermas ซึ่งต่างคนก็มีอิทธิพลเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็มีส่วนร่วมกันในการสนับสนุนทฤษฎีวิพากษ์(Critical theory) ซึ่งเสนอโดย Horkheimer ทฤษฎีนี้มองว่า ปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม ควรจะได้รับการวิพากษ์อย่างละเอียดลออ โดยใช้แนวคิดที่มีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์จิตสำนึกแบบ Marx ซึ่งยังได้รับอิทธิพลจากการศึกษาเรื่องจิตสำนึกของ Hegel โดยเฉพาะในเรื่อง ความแปลกแยก(alienation) สมาชิกของสำนักนี้คัดค้านการตีความและการประยุกต์ใช้วัตถุนิยมประวัติศาสตร์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นการลดคุณค่าและลดบทบาทของจิตสำนึกในกิจกรรมของมนุษย์และยังเป็นการสนับสนุนคติตระหนักแน่(positivism)ที่มีลักษณะเป็นลัทธิคัมภีร์และไม่สร้างสรรค์ สำนักแฟรงค์เฟิร์ตไม่เชื่อว่าจะมีการศึกษาสังคมอย่างเป็นกลางปราศจากค่านิยมได้ พวกเขาจึงปฏิเสธความคิดของ Marxist ที่อ้างตัวเองว่าเป็นการศึกษาแบบเป็นวิทยาศาสตร์และพยายามดัดแปลงแนวคิด Marxist ไปใช้กับการวิจารณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อตรวจสอบสถาบัน การปฏิบัติ และวิธีคิดซึ่ง Marx แบบคลาสสิคเรียกว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน (structure) ในแง่นี้สำนักแฟรงค์เฟิร์ตจึงเป็นกลุ่มแรกที่สร้างทฤษฎีทางด้านศิลปะที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Marxist ในช่วงแรกของการศึกษาวัฒนธรรมของสำนักแฟรงก์เฟิร์ต เป็นการศึกษาวัฒนธรรมบริโภคของมวลชน (mass culture) เนื่องจากช่วงเวลานี้ได้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการขยายตัวของการผลิตสินค้าเพื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก สินค้าถูกทำให้เหมือนกันเพื่อตอบสนองคนที่ต้องการบริโภค คนต้องการความสะดวกสบาย สินค้าอุตสาหกรรมจึงมีความจำเป็น วัฒนธรรมแบบนี้เรียกว่าวัฒนธรรมบริโภคภายใต้ระบบตลาดทุนนิยม ซึ่งต่อมาสำนักแฟรงก์เฟิร์ตก็ได้ให้ความสนใจในการศึกษาวัฒนธรรมกระแสนิยม (popular culture) ในปี ค.ศ.1947 ฮอร์กไฮเมอร์และอดอร์โน (Max Horkheimer , Theodor Adorno) [7] ได้เสนอแนวคิดเรื่อง “อุตสาหกรรมวัฒนธรรม” (culture industry) งานชิ้นดังกล่าวนี้เป็นเพียงบทความหนึ่งในอีก 7 บทที่อยู่ในหนังสื่อเล่มที่ชื่อว่า Dialectic of Enlightenment ซึ่งทั้งคู่เป็นคนเขียนรวมกัน โดยมีชื่อเต็มของบทความ คือ "Culture Industry : Enlightenment as a Mass Deception" ซึ่งแนวคิดของงานโดยรวมเป็นการวิพากษ์ยุคแห่งความสว่างวาบของภูมิปัญญาที่สร้างความเจริญ แต่ก็ได้สร้างความสามานย์ในตัวมันเองไปพร้อมๆ กันด้วย โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรม ระบบทุนนิยมได้ผลิตระบบอุตสาหกรรมบันเทิงที่ไม่ได้ต่างอะไรกับระบบการผลิตสินค้าของระบบอุตสาหกรรมทั่วๆไป ซึ่งสินค้านั้นจะถูกประเมินด้วยราคาขายในตลาดและมุ่งหวังทางผลกำไรสูงสุด ดังนั้นสินค้าทางวัฒนธรรมจึงเป็นเพียงสิ่งที่สร้างค่าของการบริโภคที่ลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงลง โดยสร้างอุดมการณ์สังคมในแบบที่ให้ค่าของอธิปไตยของการบริโภคมีค่าเทียบเท่ากับอธิปไตยทางการเมือง 2.3 Marxism ในอังกฤษและกลุ่มซ้ายใหม่ ( New left )[8] ในปี 1956 แนวคิดทฤษฎีของ Marx ได้แพร่กระจายและส่งอิทธิพลกว้างขวางในมหาวิทยาลัยประเทศอังกฤษ ช่วงกลางทศวรรษ 1960 กลุ่มที่สำคัญที่สุดคือกลุ่ม New left ที่ประกอบด้วย นักเขียน และนักคิดทางการเมืองที่มีแนวคิดวิพากษ์วิจารณ์ต่อระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม กลุ่มซ้ายใหม่มีแนวทางความสนใจร่วมกันในการชี้ให้เห็นถึงวิกฤติทางวัฒนธรรมในสังคมทุนนิยม กลุ่มปัญญาชนมาร์กซิสต์ที่นิยามตัวเองว่าเป็นซ้ายใหม่ มิได้เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกาเหนือ ความคิดซ้ายใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นช่วงปี 1960 จึงมาจากการประท้วงความยากจน และการไร้สิทธิของคนอเมริกันผิวดำ และการประท้วงระบบการศึกษาในยุโรป ประเด็นที่กลุ่มซ้ายใหม่สนใจร่วมกันได้แก่ 1) ความเชื่อที่ว่า การสุกงอมทางประวัติศาสตร์ที่ถึงพร้อมกันสำหรับการปฏิวัตินั้นเป็นเรื่องที่โกหกพกลม เพราะลำพังการจัดตั้งองค์กรการปฏิวัติอย่างเหมาะสม ก็เพียงพอที่จะทำการปฏิวัติได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ถึงพร้อมกัน 2) การปฏิวัติต้องแพร่ขยายไปในทุกส่วนของชีวิตอย่างไม่มีการยกเว้น ไม่ใช่เป็นการยึดอำนาจรัฐหรือเปลี่ยนแปลงองค์กรการผลิตแต่เป็นการปฏิวัติในทุกส่วนของสังคม 3) ชนชั้นแรงงานไม่ใช่ชนชั้นที่มีประสิทธิภาพในการปฏิวัติอีกต่อไปในปัจจุบัน อันที่จริงแล้วเราทุกคนล้วนถูกกดขี่ กดทับไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น การปฏิวัติจึงไม่จำเป็นที่จะต้องจำกัดอยู่เพียงการปฏิวัติทางเศรษฐกิจเท่านั้น 4) การปฏิวัติจำเป็นต้องเกิดขึ้นทั่วโลก กลุ่มซ้ายใหม่จึงให้ความสนใจต่อบรรดาประเทศโลกที่ 3 5) กลุ่มซ้ายใหม่ เห็นร่วมกันว่า องค์กรหลักในการปฏิวัติไม่ควรเป็นองค์กรเชิงราชการ(Bureaucracy) และไม่ควรมีลักษณะเผด็จการแบบลัทธิสตาลิน ท่ามกลางกระแสซ้ายใหม่และการเสื่อมถอยของมาร์กซิสม์ดั้งเดิม พรรคคอมมิวนิสต์อังกฤษได้ยอมรับทัศนะที่ว่า ในบริบทที่ทุนนิยมก้าวหน้าในปัจจุบันการปรับเปลี่ยนจากทุนนิยมไปเป็นสังคมนิยมสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยกลไกในระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การยึดอำนาจรัฐโดยตรง ในช่วงนี้เองได้เกิดนักทฤษฎีมาร์กซ์สายวรรณคดี คือ เรย์ม่อนด์ วิลเลี่ยมส์ (Raymond Williams) ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการวากรากฐานแนวคิดให้กับวัฒนธรรมศึกษา โดยแนวทฤษฎีที่สำคัญของ เรย์ม่อนด์ วิลเลี่ยมส์ มี 3 ประเด็น ดังนี้ (1) วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคม Williams ชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมไม่ได้เป็นผลผลิตของสังคมที่ปราศจากความขัดแย้ง วัฒนธรรมเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และเปลี่ยนแปลงไปภายใต้ความขัดแย้งของสังคมทั้งสิ้น และมิได้เป็นเพียงภาพสะท้อนของโครงสร้างสังคมที่สมาน แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความขัดแย้งของสังคม เราจึงสามารถมองเห็นกระบวนการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนต่างๆได้อย่างสลับซับซ้อน ดังนั้นการศึกษาวัฒนธรรมจึงมีแนวโน้มของการศึกษาอย่างวิพากษ์วิจารณ์ต่อวัฒนธรรมหลัก ที่พยายามครอบงำทางวัฒนธรรมอยู่ และพร้อมกันนั้นได้เห็นแนวโน้มของทางเลือก ซึ่งเป็นความหวังใหม่ของสังคมในทางวัฒนธรรมอีกด้วย (2) สังคมและวัฒนธรรม Williams เสนอว่าควรมองวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นวิถีชีวิตโดยรวม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในความหมายกว้างที่ครอบคลุมเอากิจกรรมทางสังคมด้านต่างๆไว้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีบทบาทที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของสังคม แต่สังคมก็เป็นผลมาจากการปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนของกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นวัฒนธรรมซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนบนจะต้องได้รับการพิจารณาว่ามีบทบาทต่อการดำรงอยู่ และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงผลสะท้อนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือโครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น (3) วัฒนธรรมและมนุษย์กับสังคม Williams ดึง เอามิติของความเป็นมนุษย์ซึ่งถูกละเลยมาโดยตลอดในแนวทางของมาร์กซิสม์ดั้งเดิม กลับเข้ามาสู่การศึกษาวัฒนธรรมอีกครั้ง ทำให้การศึกษาทางวัฒนธรรมต้องพิจารณาศักยภาพอันสร้างสรรค์ของมนุษย์และไม่ควรละเลยบทบาทของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นองค์ประกอบที่ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของสังคม และสามารถเป็นผู้ที่สามารถกระทำต่อระบบและส่งผลสะเทือนต่อระบบได้เช่นเดียวกัน 2.4 สำนักโครงสร้างนิยม (Structuralism) [9]และหลังโครงสร้างนิยม (Post Structuralism) [10] 2.4.1 โคลด เลวี่-เสตร้าส์ (Claude Levi-Strauss) นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส ได้เริ่มนำแนวคิดโครงสร้างนิยมมาใช้ประมาณ ค.ศ.1960 เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสำนักคิดทางภาษาศาสตร์ โดยโรมัน จาคอบสัน (Roman Jakobson) นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน Levi-Strauss ได้เอาความคิดของจาคอบมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาวัฒนธรรม Levi-Strauss เชื่อว่า”วัฒนธรรม” มีโครงสร้างหรือหลักการพื้นฐานเช่นเดียวกับภาษา อันเป็นลักษณะสากลที่มนุษย์ทุกแห่งหนทั่วโลกใช้ในการสื่อความหมายซึ่งกันและกัน Levi-Strauss ต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกๆคนและทุกๆวัฒนธรรม มีระบบการจำแนกแยกแยะ(system of classification )ที่เหมือนกัน นั่นคือการแยกแยะสิ่งที่ตรงข้าม(binary opposition) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่มนุษย์ใช้ในการจัดระเบียบชีวิต ในการให้ความหมายกับโลกและจักรวาล และในการสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ทฤษฎีโครงสร้างนิยม ได้รับแรงบันดาลใจมาจากทฤษฎี Marxism ตามทัศนะของ Levi-Strauss ทฤษฎีโครงสร้างนิยม เป็นความพยายามในการอธิบายการรวมตัวกันและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม อันเป็นประเด็นที่ Marx ไม่เคยพูดถึงมาก่อน ทฤษฎีโครงสร้างนิยม มิได้คำนึงถึง “ปัจจัย” ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่ Marx สนใจ ตามนัยนี้ ทฤษฎีโครงสร้างนิยมจึงมีลักษณะที่สนับสนุนทฤษฎี Marxism ในแง่ที่ว่า โครงสร้างนิยมมุ่งที่จะอธิบายประเด็นที่ Marxism มิได้อธิบายเอาไว้ นอกจากนี้ Levi-Strauss ยังได้เน้นว่า ท่านและ Marx มีความเห็นที่สอดคล้องกันในแง่ที่ว่า “ กฎเกณฑ์พื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ เป็นกฎเกณฑ์ที่เราสามารถค้นพบได้โดยการวิเคราะห์ทางทฤษฎี “Levi-Strauss ได้เปรียบเทียบมโนคติเรื่อง “โครงสร้าง” ของ ทฤษฎีโครงสร้างนิยมว่า เป็นสิ่งเดียวกันกับมโนคติเรื่อง “ ประวัติศาสตร์” ของทฤษฎีมาร์กซิสม์ ทั้งสองต่างเน้นในเรื่องของความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็น “วิภาษวิธี “ เช่นเดียวกัน
I 1 I 2 I 3 I
+ หลักการวิจัยสังคมศาสตร์