หลักการวิจัยสังคมศาสตร์ หลักการวิจัยสังคมศาสตร์: จากสารานุกรมวิกกีพีเดีย สมเกียรติ ตั้งนโม : เรียบเรียง / คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่วนที่ ๑ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเบื้องต้น การวิจัยคืออะไร? (Research) การวิจัย บ่อยครั้งได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็นกระบวนการค้นคว้าเชิงรุกอย่างเป็นระบบ และด้วยความพากเพียร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการค้นพบข้อเท็จจริง, ตีความข้อเท็จจริง และปรับปรุงข้อเท็จจริง. การค้นคว้าทางสติปัญญาอันนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้มากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ, พฤติกรรม, ทฤษฎี, และกฎเกณฑ์บางอย่าง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงปฏิบัติเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย ศัพท์คำว่า"การวิจัย"(research) ยังได้ถูกนำมาใช้อธิบายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อหาเฉพาะเรื่องบางอย่าง และปรกติแล้ว มันถูกทำให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกับผลิตผลทางวิทยาศาสตร์และระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับความเป็นมาของคำว่า"การวิจัย"(research) นี้ เดิมทีเดียวเป็นคำซึ่งสืบทอดมาจากภาษาฝรั่งเศสว่า recherche, และจาก rechercher, คือค้นคว้าอย่างใกล้ชิด ซึ่ง chercher หมายถึง "ค้นหา"; ความหมายตามตัวอักษรของมันคือ"to investigate thoroughly" (สืบค้นอย่างถ้วนทั่ว) เนื้อหาบทความในส่วนแรก เราจะมาพิจารณากันถึงหัวข้อดังต่อไปนี้ 1 Basic research (การวิจัยขั้นพื้นฐาน) 2 Research methods (ระเบียบวิธีวิจัย) 3. Action Research (การวิจัยเชิงปฏิบัติการ) 4. Research Process (กระบวนการวิจัย) 5. Publishing (การตีพิมพ์ผลงาน) 6. Research funding (การให้ทุนวิจัย) 1. การวิจัยขั้นพื้นฐาน (Basic research) การวิจัยพื้นฐาน(Basic research) (เรียกว่า การวิจัยเบื้องต้น หรือการวิจัยบริสุทธิ์ - fundamental or pure research) วัตถุประสงค์แรกคือ วิจัยเพื่อความก้าวหน้าทางความรู้และความเข้าใจในเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ท่ามกลางความผันแปรไม่แน่นอน. การวิจัยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสำรวจตรวจค้น และหลายต่อหลายครั้งได้ถูกขับเคลื่อนโดยความอยากรู้อยากเห็น, ความมีประโยชน์, หรือความรู้สึกดลใจของนักวิจัย. การวิจัยขั้นพื้นฐานนี้ได้ถูกชักนำโดยปราศจากจุดจบภายใน ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่หวังผล ที่ชี้ถึงประโยชน์ที่เป็นจริงใดๆ ก็ตาม ศัพท์คำว่า"พื้นฐาน"(basic)หรือ"เบื้องต้น"(fundamental) ชี้ว่า, โดยผ่านการสร้างทฤษฎี การวิจัยพื้นขั้นฐานจะตระเตรียมรากฐานสำหรับการวิจัยต่อไปข้างหน้า ซึ่ง(บางครั้ง)ก็คือ"การวิจัยในขั้นประยุกต์"(applied research). ดังที่มันไม่มีหลักประกันใดๆ เกี่ยวกับการบรรลุความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้นในทางปฏิบัติ แต่บ่อยมากทีเดียวที่บรรดานักวิจัยทั้งหลายพบว่า มันยุ่งยากที่จะได้รับทุนสำหรับการทำวิจัยขั้นพื้นฐานดังกล่าว ทั้งนี้เพราะการวิจัยก็คือตัวเลขอันหนึ่งของการลงทุนย่อยๆ นั่นเอง 2. ระเบียบวิธีการวิจัย (Research methods) 2.1 เป้าหมายเกี่ยวกับกระบวนการวิจัยคือ สร้างความรู้ใหม่ ซึ่งมีรูปแบบหลักอยู่ 3 ประการดังนี้ - Exploratory research, (การวิจัยเชิงสำรวจตรวจสอบ) เป็นการสร้างและจำแนกแยกแยะปัญหาใหม่ๆ - Constructive research, (การวิจัยเชิงพัฒนา/สร้างสรรค์) พัฒนาทางออกต่างๆ ต่อปัญหาหนึ่ง - Empirical research, (การวิจัยเชิงประจักษ์) ทดสอบความเป็นไปได้ของทางออกหรือการแก้ปัญหา โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ 2.2 การวิจัยยังสามารถจัดแบ่งได้เป็น 2 แบบ - Primary research (การวิจัยขั้นปฐมภูมิ) - Secondary research (การวิจัยขั้นทุติยภูมิ) 2.3 สำหรับระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกนำมาใช้โดยนักวิชาการทั้งหลาย มีดังต่อไปนี้ (Research methods used by scholars): - Action research (การวิจัยเชิงปฏิบัติ) - Cartography (การทำแผนภาพ) - Case study (กรณีศึกษา) - Classification (การจัดหมวดหมู่) - Experience and intuition (ประสบการณ์ และสหัชญาน) - Experiments (การทดลอง) - Interviews (การสัมภาษณ์) - Mathematical models (แบบจำลองทางคณิตศาสตร์) - Participant observation (การสังเกตการณ์แบบมีส่วร่วม) - Semiotics (สัญศาสตร์) - Simulation (การลอกเลียน/เลียนแบบ) - Statistical analysis (การวิเคราะห์เชิงสถิติ) - Statistical surveys (การสำรวจเชิงสถิติ) - Content or Textual Analysis (การวิเคราะห์ตัวบท, เนื้อหา) หลายครั้งการวิจัยจะถูกชักนำไปให้ใช้แบบจำลอง"นาฬิกาทราย"(hourglass). แบบจำลองนาฬิกาทรายเริ่มต้นด้วย ขอบเขตกว้างๆ สำหรับการวิจัย และค่อยๆโฟกัสไปยังข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการโดยผ่านระเบียบวิธีของโครงการ (คล้ายคอขวดของนาฬิกาทราย) ต่อจากนั้นก็ขยายการวิจัยในรูปของการสนทนา และการแสวงหาผลลัพธ์หรือคำตอบต่างๆ 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นการวิจัยชนิดหนึ่งซึ่งเราแต่ละคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง, เรา (ในที่นี้หมายถึงทีมงาน หรือชุมชนที่ไม่เป็นทางการ) สามารถที่จะทำการวิจัยเพื่อพิสูจน์การปฏิบัติการ, หรือองค์กรที่ใหญ่กว่าหรือสถาบันต่างๆ สามารถชักนำพวกเขาเอง โดยได้รับความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากบรรดานักวิจัยมืออาชีพ ให้ทำวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายคือ เพื่อพิสูจน์แผนการณ์, ยุทธศาสตร์, ปฏิบัติการ, และความรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายในการปฏิบัติการของพวกเขา Kurt Lewin, ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของสถาบัน MIT เป็นคนแรกที่คิดประดิษฐ์ศัพท์คำว่า"การวิจัยเชิงปฏิบัติการ"(action research) นี้ขึ้นมาในงานภาคเอกสารเรื่อง "Action Research and Minority Problems" ของเขาในปี 1946. ในงานภาคเอกสารชิ้นดังกล่าว เขาได้อธิบายการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ในฐานะที่เป็นการวิจัยเชิงเปรียบเทียบบนเงื่อนไขและผลต่างๆ ของรูปแบบอันหลากหลายเกี่ยวกับปฏิบัติการทางสังคมและการวิจัย ที่น้อมนำสู่ปฏิบัติการในแบบจำลองซึ่งเรียกว่าเกลียวของขั้นตอนต่างๆ, แต่ละขั้นได้รับการสร้างขึ้นจากวงกลมวงหนึ่งของการวางแผน, การปฏิบัติการ, และการค้นพบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลลัพธ์ของปฏิบัติการนั้น การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไม่ใช่แค่เพียงการวิจัยที่อธิบายว่า มนุษย์และองค์กรต่างๆ มีปฏิบัติการในโลกภายนอกอย่างไร แต่มันยังมันยังอรรถาธิบายถึงกลไกการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้มนุษย์และองค์กรต่างๆ สะท้อนและเปลี่ยนแปลงระบบของพวกเขาเองอย่างไรด้วย(Reason & Bradbury, 2001). ภายหลัง 6 ทศวรรษของการพัฒนาการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ระเบียบวิธีการต่างๆ มากมายได้วิวัฒน์ขึ้นตามลำดับ ดังต่อไปนี้: 1. จากสิ่งที่ค่อนข้างถูกขับเคลื่อนโดยการกำหนดของนักวิจัย สู่สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนโดยบรรดาผู้มีส่วนร่วมต่างๆ มากขึ้น 2. จากสิ่งที่เดิมที ได้รับการกระตุ้นโดยการบรรลุเป้าหมายเชิงอุปกรณ์ หรือศาสตร์ สู่สิ่งที่ถูกระตุ้นโดยเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงส่วนตัว, องค์กร, ชุมชน, และสังคม การวิจัยเชิงปฏิบัติการ สามารถเปลี่ยนแปลงความหมายทั้งหมดของสังคมศาสตร์ สามารถเปลี่ยนรูปมันจากความรู้ในลักษณะไตร่ตรองเกี่ยวกับปฏิบัติการทางสังคมในอดีต ที่ถูกสร้างเป็นสูตรขึ้นมาโดยความเป็นผู้เชี่ยวชาญ สู่การทำให้เป็นทฤษฎีในเชิงปฏิบัติ, การรวบรวมข้อมูล, และการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นในแกนกลางความเป็นอยู่ที่ดำเนินไปของเรา ความรู้มักจะได้มาโดยผ่านการปฏิบัติและเพื่อการปฏิบัติการ, จากจุดเริ่มต้นนี้ จึงก่อให้เกิดการตั้งคำถามถึงความมีเหตุผลของความรู้ทางสังคม มิใช่เพื่อจะพัฒนาศาสตร์ของการไตร่ตรองเกี่ยวกับการกระทำ แต่เพื่อพัฒนาการปฏิบัติการซึ่งมีข้อมูลที่ดีอย่างแท้จริง และเพื่อชักนำศาสตร์ต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติและเป็นจริง 4. กระบวนการเกี่ยวกับการวิจัย (Research process) โดยทั่วไปแล้ว การวิจัยถูกเข้าใจว่าดำเนินรอยตามกระบวนการเชิงโครงสร้างที่แน่นอนอันหนึ่ง แม้ว่าระเบียบขั้นตอนอาจแปรผันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระและตัวนักวิจัย แต่ปรกติแล้ว การดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ จะเป็นไปตามการวิจัยที่เป็นทางการ ทั้งในส่วนของการวิจัยขั้นพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์ดังนี้ - Formation of the topic (การสร้างหัวข้อ) - Hypothesis (การตั้งสมมุติฐาน) - Conceptual definitions (การนิยามความหมายเชิงแนวคิด) - Operational definitions (การนิยามความหมายเชิงปฏิบัติการ) - Gathering of data (การรวบรวมข้อมูล) - Analysis of data (การวิเคราะห์ข้อมูล) - Conclusion, revising of hypothesis (การสรุป, และการปรับปรุงแก้ไขสมมุติฐาน) 5. การตีพิมพ์ (Publishing) การตีพิมพ์ทางวิชาการ ถือเป็นขั้นตอนระบบหนึ่งซึ่งมีความจำเป็นต่อบรรดานักวิชาการที่จะประเมินผลงานจากเพื่อนร่วมวิชาชีพ และทำให้มันเผยแพร่ไปสู่ผู้อ่านได้อย่างกว้างขวาง. ผลงานทางวิชาการส่วนใหญ่จะถูกตีพิมพ์ในรูปวารสาร บทความ หรือหนังสือเป็นเล่ม. STM publishing เป็นคำย่อสำหรับการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี และทางการแพทย์ (science, technology, and medicine) ขอบเขตความรู้ทางวิชาการที่มั่นคงแล้วส่วนใหญ่จะมีวารสารเฉพาะของตนเอง และช่องทางต่างๆ สำหรับการตีพิมพ์เผยแพร่. วารสารทางวิชาการจำนวนมากจะมีลักษณะค่อนข้างเป็นสหวิทยาการ และมีผลงานตีพิมพ์จากสาขาความรู้ต่างๆ หรือความรู้ย่อยๆ อย่างหลากหลาย การตีพิมพ์เผยแพร่ ถูกยอมรับกันในฐานะที่เป็นงานความรู้หรือการวิจัย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงผันผวนระหว่างความรู้ต่างๆ มาก การตีพิมพ์ผลงานวิชาการปัจจุบันกำลังมีความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ อันนี้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านจากสิ่งพิมพ์ไปสู่รูปแบบการเผยแพร่อิเล็กทรอนิก. นับจากช่วงต้นทศวรรษที่ 1990s เป็นต้นมา ใบอนุญาตหรือสิทธิในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลอิเล็กทรอนิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วารสารต่างๆ เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก. ปัจจุบันนี้ แนวโน้มหลัก โดยเฉพาะที่ได้รับการยอมรับนับถือกันเกี่ยวกับวารสารต่างๆ ทางวิชาการ เป็นการเปิดให้เข้าใช้ได้อย่างอิสระ(open access) สำหรับรูปแบบหลักของวารสารดังกล่าวมีอยู่ 2 แบบคือ - open access publishing ซึ่งบทความต่างๆ หรือวารสารทั้งหลาย สามารถเข้าใช้ได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นับจากช่วงเวลาที่มีการเผยแพร่ - self-archiving ซึ่งผู้เขียนได้ทำสำเนางานของพวกเขาเอง เพื่อให้บริการฟรีบนเว็บไซต์ 6. เกี่ยวกับทุนวิจัย (Research funding) ทุนส่วนใหญ่สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาจากแหล่งทุนหลักๆ 2 แหล่ง นั่นคือ จากบริษัทต่าง(โดยผ่านหน่วยงานหรือแผนกวิจัยและการพัฒนา[research and development departments]) และแหล่งทุนที่มาจากรัฐบาล (แรกทีเดียวโดยผ่านมหาวิทยาลัย และในบางกรณีผ่านหน่วยงานของกองทัพ) บรรดานักวิจัยอาวุโสจำนวนมาก(อย่างเช่น พวกผู้นำกลุ่มการวิจัยทั้งหลาย) ส่วนมากแล้ว พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่นเรื่องการสมัครขอรับทุนวิจัยต่างๆ ทุนเหล่านี้อันที่จริงแล้วมีความจำเป็น, ไม่เพียงเฉพาะกับบรรดานักวิจัยที่จะดำเนินงานวิจัยของพวกเขาให้สำเร็จลุล่วงเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับความเชื่อมั่นที่มาจากแหล่งทุนด้วย. ฐานะตำแหน่งเกี่ยวกับความสามารถบางอย่างของผู้ทำวิจัย เรียกร้องต้องการรับทุนจากบางสถาบันโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น the US National Institutes of Health (NIH) (ในต่างประเทศ) ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลบางทุน (อย่างเช่น the NIH, the National Health Service ในประเทศอังกฤษ หรือสมาคมวิจัยของยุโรป, the European research councils) โดยทั่วไปแล้วถือว่ามีสถานะค่อนข้างสูง และเป็นที่น่าเชื่อถือ ข้อมูลเรียบเรียงจาก: http://en.wikipedia.org/wiki/Research ส่วนที่ ๒ เกี่ยวกับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การวิจัยทางสังคมศาสตร์คืออะไร ? (Social research) การวิจัยทางสังคมศาสตร์ เป็นการอ้างถึงงานวิจัยที่ปฏิบัติการโดยบรรดานักสังคมศาสตร์ (เดิมทีอยู่ในขอบเขตความรู้สังคมวิทยาและจิตวิทยาสังคม) นอกจากนี้มันยังอยู่ในสาขาวิชาอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น นโยบายทางสังคม, ภูมิศาสตร์มนุษย์(human geography - the branch of geography concerned with how human activity affects or is influenced by the earth's surface.), รัฐศาสตร์, มานุษยวิทยาสังคม, และการศึกษา ฯลฯ บรรดานักสังคมวิทยาและนักสังคมศาสตร์อื่นๆ ได้ทำการศึกษาเรื่องราวหลายหลาก: จากข้อมูลการสำรวจประชากรเป็นแสนๆ จนกระทั่งถึงการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตของคนสำคัญคนใดคนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนท้องถนนในทุกวันนี้ - หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา บรรดานักสังคมศาสตร์ทั้งหลายใช้วิธีการที่แตกต่างกันมากมายเพื่อที่จะอรรถาธิบาย, สำรวจ, และทำความเข้าใจชีวิตทางสังคม. วิธีการทางสังคมต่างๆ โดยทั่วไปแล้วสามารถได้รับการจำแนกออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ คือ - Quantitative methods (วิธีการเชิงปริมาณ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความพยายามที่จะแสดงจำนวนหรือปริมาณปรากฏการณ์ทางสังคม และรวบรวม-วิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข รวมถึงการโฟกัสลงบนความเชื่อมโยงกันต่างๆ - Qualitative methods, (วิธีการเชิงคุณภาพ) เป็นการเน้นประสบการณ์ส่วนตัวต่างๆ และการตีความเหนือเรื่องจำนวนหรือปริมาณ ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจความหมายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคม และโฟกัสลงบนความเชื่อมโยงของคุณสมบัติต่างๆ ขณะที่มันค่อนข้างแตกต่างกันมากในหลากหลายแง่มุม แต่ทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยคุณภาพต่างเกี่ยวพันกับปฏิสัมพันธ์เชิงระบบอันหนึ่ง ระหว่างทฤษฎีต่างๆ และข้อมูล (theories and data) - การวิจัยเชิงปริมาณ, เครื่องมือโดยทั่วไปของนักวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนใหญ่แล้ว ใช้การสำรวจ, แบบสอบถาม, และการวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิทางข้อมูลสถิติ(surveys, questionnaires, and secondary analysis of statistical data) ซึ่งได้รับการรวบรวมขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ (ยกตัวอย่างเช่น การสำรวจจำนวนประชากร หรือผลลัพธ์เกี่ยวกับการสำรวจทัศนคติทางสังคมต่างๆ) - การวิจัยเชิงคุณภาพ, เครื่องมือของวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ส่วนมากจะใช้การสำรวจไปที่กลุ่มโฟกัส, การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม(focus groups, participant observation), และเทคนิคอื่นๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน เนื้อหาเกี่ยวกับการวิจัยทางสังคมที่เราจะพิจารณากัน มีหัวข้อสำคัญดังต่อไปนี้ 1 Ordinary human inquiry (การสอบถามจากคนธรรมดา) 2 Foundations of social research (รากฐานของการวิจัยทางสังคมศาสตร์) 2.1 Types of explanations 2.2 Types of inquiry 3 Quantitative / qualitative debate (การอภิปรายเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ) 4 Paradigms (กระบวนทัศน์) 5 The ethics of social research (จริยธรรมเกี่ยวกับการวิจัยทางสังคมศาสตร์) 6 See also 6.1 Social research organisations 6.2 Social research techniques 1. การสอบถามจากผู้คนธรรมดา (Ordinary human inquiry) ก่อนการมาถึงของสังคมวิทยาและการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในงานวิจัยทางสังคม, การสอบถามจากผู้คน, ส่วนใหญ่แล้วได้รับการวางพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์ส่วนตัวต่างๆ และรับความรู้สติปัญญามาในรูปแบบของขนบประเพณีและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้(ผู้ที่เชี่ยวชาญ) วิธีการดังกล่าว บ่อยครั้ง นำไปสู่ความผิดพลาด อย่างเช่น การสังเกตการณ์ที่ไม่แม่นยำเที่ยงตรง, มีลักษณะที่ทั่วไปเกินไป, การสังเกตการณ์แบบเลือกสรร, ความเป็นอัตวิสัย และขาดเสียซึ่งหลักตรรกะ 2. รากฐานต่างๆ ของการวิจัยทางสังคม (Foundations of social research) การวิจัยทางสังคม(และสังคมศาสตร์โดยทั่วไป) วางอยู่บนพื้นฐานของตรรกะ และการสังเกตการณ์เชิงประจักษ์. Charles C. Ragin ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ Constructing Social Research ของเขาว่า "การวิจัยทางสังคมเกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคิดต่างๆ และหลักฐาน(ideas and evidence). ไอเดียหรือความคิดช่วยให้นักวิจัยทั้งหลายเข้าใจเกี่ยวกับหลักฐาน และบรรดานักวิจัยได้ใช้พยานหลักฐานเพื่อขยาย, ปรับปรุง/แก้ไข และทดสอบความคิดต่างๆ" โดยเหตุนี้ การวิจัยทางสังคมจึงพยายามสร้างทฤษฎีหรือทำให้ทฤษฎีมีความสมเหตุสมผล โดยผ่านการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล และเป้าหมายของมันก็เพื่อการสำรวจ, บรรยาย, และอรรถาธิบายนั่นเอง. มันไม่ควรจะน้อมนำไปหรือถูกทำให้เกิดความผิดพลาดด้วยปรัชญาหรือความเชื่อ. การวิจัยทางสังคมมีจุดหมายที่จะค้นพบแบบแผนต่างๆ ทางสังคมเกี่ยวกับระเบียบกฎเกณฑ์ในชีวิตทางสังคม และปรกติแล้วเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่างๆ ของสังคม (การรวมตัวกันของปัจเจกชน) ไม่ใช่แต่ละปัจเจกชนเอง. (แม้ว่าศาสนาทางด้านจิตวิทยาจะเป็นข้อยกเว้นในที่นี้) การวิจัยยังสามารถแยกแยะออกได้เป็นการวิจัยบริสุทธิ์และการวิจัยขั้นประยุกต์(pure research and applied research). การวิจัยบริสุทธิ์ไม่ได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง ขณะที่ในทางตรงข้าม การวิจัยขั้นประยุกต์พยายามที่จะมิอิทธิพลต่อโลกของความเป็นจริง มันไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ในสังคมศาสตร์ที่คู่ขนานไปกับกฎในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ กฎในทางสังคมศาสตร์เป็นหลักการหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป ที่เป็นสากลอันหนึ่งเกี่ยวกับชั้นของข้อเท็จจริงต่างๆ (class of facts) - ข้อเท็จจริง(a fact) เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับมาจากการสังเกต และวิธีสังเกตการณ์ที่ได้รับการเฝ้ามอง, ได้ยินได้ฟัง หรือมิฉะนั้นก็เป็นประสบการณ์ของนักวิจัย - ส่วนทฤษฎี(a theory)คือการอธิบายอย่างเป็นระบบสำหรับการสังเกตการณ์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กับแง่มุมเฉพาะเจาะจงอันหนึ่งของชีวิตทางสังคม - แนวความคิดต่างๆ(concepts) ก็คือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของทฤษฎี และเป็นนามธรรมซึ่งเป็นตัวแทนชั้นต่างๆ ของปรากฏการณ์ - กฎเกณฑ์ที่ยอมรับกันทั่วไปโดยไม่ต้องพิสูจน์(Axioms) หรือฐานความจริง(postulates)คือ ข้อยืนยันพื้นฐานที่ทึกทักว่าเป็นจริง - ข้อเสนอต่างๆ(propositions)คือข้อสรุป ที่วาดภาพหรือพรรณาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทั้งหลายท่ามกลางแนวคิดต่างๆ(concepts) ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนการวิเคราะห์กฎเกณฑ์ที่ยอมรับกันโดยไม่ต้องพิสูจน์(axioms) - ข้อสันนิษฐาน/สมมุติฐาน(hypotheses) คือความคาดหวังที่มีลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับความจริงเชิงประจักษ์(empirical reality) ซึ่งสืบทอดมาจากข้อเสนอต่างๆ(propositions). การวิจัยทางสังคมเกี่ยวพันกับการทดสอบสมมุติฐานต่างๆ เหล่านี้ เพื่อดูว่ามันเป็นจริงหรือไม่ การวิจัยทางสังคมศาสตร์เกี่ยวพันกับการสร้างสรรค์ทางทฤษฎี, การปฏิบัติการ, (มาตรวัดเกี่ยวกับตัวแปร) และการสังเกตการณ์ (การรวบรวมข้อมูลจริงเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของสมมุติฐาน). ทฤษฎีทางสังคมทั้งหลาย ได้รับการเขียนขึ้นในภาษาของตัวแปรต่างๆ(variables) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทฤษฎีต่างๆ อธิบายถึงความสัมพันธ์เชิงตรรกระหว่างตัวแปรเหล่านั้น ตัวแปร คือชุดของตรรกะเกี่ยวกับท่าทีหรือทัศนคติต่างๆ โดยผู้คนทั้งหลายเป็นตัวนำพาตัวแปรเหล่านั้น('carriers' of those variables) (ยกตัวอย่างเช่น เพศสภาพสามารถเป็นตัวแปรอันหนึ่งในสองลักษณะ คือ ชายและหญิง[male and female]). ตัวแปรต่างๆ ยังแบ่งออกได้เป็น ตัวแปรอิสระต่างๆ (ข้อมูล)ที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม (independent variables (data) that influences the dependent variables) (ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามอธิบาย) ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาอันหนึ่งเกี่ยวกับปริมาณต่างๆ ของการใช้ยาที่แตกต่างกัน มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของอาการโรคอย่างไร, มาตรวัดเกี่ยวกับความรุนแรงของอาการโรคเป็นตัวแปรตาม และการใช้ปริมาณยาในขนาดเฉพาะเป็นตัวแปรอิสระ. บรรดานักวิจัยทั้งหลายจะเปรียบเทียบค่าความต่างของตัวแปรตาม(ความรุนแรงของอาการโรค) และพยายามที่จะนำไปสู่ข้อสรุปต่างๆ 2.1 แบบอย่างการอธิบาย (Types of explanations) การอรรถาธิบายในทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ สามารถกระทำได้ในลักษณะส่วนตัว(idiographic - Relating to or involving the study of individuals) หรือในเชิงหลักการทั่วๆ ไป (nomothetic). วิธีการส่วนตัวในการอธิบาย เป็นหนึ่งในสิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะหลีกเลี่ยง เพื่อที่จะขจัดความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับเงื่อนไขเฉพาะบางอย่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น โดยการพยายามที่จะจัดหาคำอธิบายที่เป็นไปได้ทั้งหมดเกี่ยวกับกรณีเฉพาะนั้นๆ ส่วนการอธิบายในเชิงหลักการต่างๆ (Nomothetic explanations) เป็นแนวโน้มโดยทั่วไปซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพยายามที่จะจำแนกแยกแยะปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับสาเหตุที่มีผลกระทบต่อเงื่อนไขหรือเหตุการณ์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาที่ว่าผู้คนทั้งหลายเลือกงานกันอย่างไร, คำอธิบายส่วนตัว(idiographic explanation), ก็จะจดบันทึกเหตุผลที่เป็นไปได้ทั้งหมดลงไปว่า ทำไมคนๆ นั้น(หรือกลุ่มคนนั้น)จึงเลือกงานดังกล่าว. ขณะที่การอธิบายในเชิงหลักการจะพยายามค้นหาปัจจัยต่างๆ ที่มากำหนดตัดสินว่า ทำไมผู้สมัครงานโดยทั่วไป จึงเลือกงานนั้นๆ 2.2 แบบอย่างของการค้นคว้า (Types of inquiry) การวิจัยทางสังคมศาสตร์สามารถเป็นได้ทั้งวิธีการนิรนัยและอุปนัย - deductive - นิรนัย, พิจารณาจากหลักการทั่วไปสู่เรื่องเฉพาะ - inductive - อุปนัย, พิจารณาจากเรื่องเฉพาะไปสู่หลักการทั่วไป) การค้นคว้าแบบอุปนัย(inductive inquiry) ถูกรู้จักในฐานะที่เป็น grounded research เป็นแบบจำลองอันหนึ่ง ซึ่งหลักการทั่วไป(ทฤษฎีต่างๆ) ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากการสังเกตต่างๆ ในสิ่งเฉพาะ. ส่วนการค้นคว้าในเชิงนิรนัย การคาดหมายต่างๆ ในสิ่งเฉพาะถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานของหลักการทั่วไปต่างๆ (เช่น บรรดานักสังคมศาสตร์เริ่มต้นจากทฤษฎีหนึ่งที่มีอยู่ และจากนั้นจึงทำการค้นหาเพื่อพิสูจน์สมมุติฐาน) ยกตัวอย่างเช่น - ในการวิจัยเชิงอุปนัย ถ้านักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งพบว่า ชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาเฉพาะบางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะนิยมชมชอบทัศนะทางการเมืองเฉพาะบางแนวทาง จากนั้นเขาอาจจะลากเอาประเด็นนี้ไปสู่สมมุติฐานว่า ชนกลุ่มน้อยทุกๆ ศาสนา มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติทางการเมืองอย่างเดียวกัน - ในการวิจัยเชิงนิรนัย นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มต้นจากสมมุติฐานอันหนึ่งว่า ความสัมพันธ์กันในเชิงศาสนา มีอิทธิพลต่อทัศนคติทางการเมือง และจากนั้นจึงเริ่มต้นสังเกตการณ์เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของเขา 3. การอภิปรายเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ (Quantitative / qualitative debate) ตามปรกติแล้ว จะมีการสลับกันระหว่างกรณีตัวอย่างต่างๆ และตัวแปรจำนวนหนึ่ง ซึ่งการวิจัยทางสังคมศาสตร์สามารถศึกษาได้. การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกันกับกรณีตัวอย่างไม่มากนัก แต่เต็มไปด้วยตัวแปร ในขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณจะเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย แต่มีตัวแปรต่างๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีการถกเถียงและอภิปรายกันเกี่ยวกับเรื่องของวิธีการวิจัยในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพว่า สามารถที่จะเติมเต็มกันให้สมบูรณ์ได้หรือไม่ นักวิจัยบางคนให้เหตุผลว่า การรวมเอาวิธีการทั้งสองเข้าด้วยกันเป็นประโยชน์และให้ผลดี นอกจากนั้นยังช่วยให้ภาพที่สมบูรณ์ขึ้นเกี่ยวกับโลกสังคมศาสตร์ด้วย. ขณะที่นักวิจัยบางคนเชื่อว่า ญานวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ซึ่งเป็นฐานรากของวิธีการวิจัยในแต่ละชนิด มีลักษณะที่แตกต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่สามารถเข้ากันได้ในโครงการวิจัยเดียวกัน วิธีการวิจัยต่างๆ ในเชิงปริมาณ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, แบบจำลองปฏิฐานนิยมของทฤษฎีการทดสอบ, ส่วนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพตั้งอยู่บนพื้นฐานแบบจำลองของการตีความ และมีการโฟกัสไปรอบๆ ทฤษฎีต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายและเรื่องราวคำอธิบายต่างๆ - บรรดานักปฏิฐานนิยม(positivists) ปฏิบัติต่อโลกสังคม(social world) ในฐานะที่เป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งอยู่ข้างนอก(out there), มันอยู่ภายนอกนักสังคมศาสตร์และรอให้ไปพิสูจน์หรือทำวิจัย - ส่วนบรรดานักตีความหมาย(interpretivist) ในอีกด้านหนึ่งนั้นเชื่อว่า โลกสังคมได้ถูกสร้างขึ้นโดยตัวแทนหรือองค์กรทางสังคม และด้วยเหตุนี้ การแทรกแซงใดๆ ก็ตามโดยนักวิจัย จะส่งผลกระทบต่อความจริงทางสังคม ในกรณีนี้วางอยู่ความขัดแย้งเชิงอนุมานระหว่างวิธีการเชิงปริมาณกับวิธีการเชิงคุณภาพตามจารีต ซึ่งแสวงหาที่จะลดการแทรกแซงก้าวก่ายกันลงให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อที่จะผลิตเหตุผลและสถิติต่างๆ อันน่าเชื่อถือขึ้นมา ขณะที่ในทางตรงข้ามวิธีการเชิงคุณภาพ โดยจารีตแล้วปฏิบัติกับการแทรกแซงในฐานะที่เป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น (บ่อยครั้ง ได้ให้เหตุผลว่า การมีส่วนร่วมสามารถน้อมนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของสังคม) แต่อย่างไรก็ตาม มันได้รับการตระหนักเพิ่มขึ้นว่า นัยสำคัญของความแตกต่างกันเหล่านี้ ไม่ควรที่จะถูกขยายหรือทำให้เกินจริงมากไป และวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพสามารถที่จะมาเติมเต็มเพื่อความสมบูรณ์กันได้ ระเบียบวิธีทั้งสองชนิดสามารถนำมารวมกันในหนทางต่างๆ มากมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้: 1. วิธีการเชิงคุณภาพต่างๆ สามารถถูกนำมาใช้เพื่อที่จะพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ในการวิจัยเชิงปริมาณได้ ตัวอย่างเช่น กลุ่มโฟกัส(focus groups)สามารถได้รับการนำมาใช้เพื่อสำรวจถึงประเด็นปัญหา กับกลุ่มผู้คนขนาดไม่ใหญ่นักกลุ่มหนึ่ง และการใช้วิธีการรวบรวมข้อมูล วิธีการอันนี้สามารถถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแบบสอบถามในการสำรวจเชิงปริมาณ ที่สามารถได้รับการจัดการหรือดำเนินการกับผู้คนจำนวนมากขึ้น เพื่อผลลัพธ์ทั่วๆ ไป 2. วิธีการเชิงคุณภาพต่างๆ สามารถถูกนำมาใช้เพื่อสำรวจและทำให้การตีความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหลายสะดวกและง่ายดายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยอาจมีสมมุติฐานในเชิงอุปนัยว่า มันมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอันหนึ่ง ระหว่างทัศนคติเชิงบวกของทีมงานขายกับการขายสินค้าได้ในจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในวิธีการเชิงปริมาณ, นิรนัย, การสังเกตเชิงโครงสร้างกับร้านค้าสะดวกซื้อจำนวน 576 ร้าน ได้เผยออกมาว่า อันนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง. และเพื่อที่จะเข้าใจว่า ทำไมความสัมพันธ์กันระหว่างตัวแปรทั้งหลายจึงออกมาในเชิงลบ ซึ่งไม่ตรงกับการวิจัยดังกล่าว อาจต้องดำเนินการในลักษณะการศึกษากรณีดังกล่าวในเชิงคุณภาพกับร้านค้าสะดวกซื้อ 4 แห่ง รวมถึงการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม อันนี้อาจยืนยันว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นไปในเชิงลบ แต่นั่นมันไม่ใช่ทัศนคติในเชิงบวกของสต๊าฟงานขาย ที่น้อมนำไปสู่การขายที่ต่ำกว่าเป้า แต่ค่อนข้างเป็นว่า การขายที่สูงน้อมนำไปสู่ความยุ่งยาก วุ่นวายสับสน ซึ่งเป็นไปได้น้อยที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกในเชิงบวกออกมาในการทำงาน วิธีการเชิงปริมาณเป็นประโยชน์สำหรับการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสเกลขนาดใหญ่, ส่วนวิธีการเชิงคุณภาพยอมให้นักสังคมศาสตร์ได้ตระเตรียมคำชี้แจง และคำอธิบายต่างๆ อย่างมากมายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคม แต่ในสเกลหรือสัดส่วนที่เล็กกว่าเสมอ. โดยการใช้วิธีการทั้งสองอย่างหรือมากกว่านั้น บรรดานักวิจัยทั้งหลายอาจสามารถแบ่งการค้นพบต่างๆ ของพวกเขาเป็น ๓ ด้าน และจัดหาตัวแทนแสดงออกที่มีเหตุผลเกี่ยวกับโลกสังคม การรวมกันวิธีการที่แตกต่าง บ่อยครั้งถูกใช้ในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ(comparative research) ซึ่งเกี่ยวกันกับการศึกษากระบวนการทางสังคมที่ข้ามรัฐชาติต่างๆ หรือข้ามแบบฉบับที่แตกต่างของสังคม 4. กระบวนทัศน์ต่างๆ (Paradigms) บรรดานักสังคมศาสตร์ทั้งหลาย ปรกติแล้ว จะดำเนินการตามกระบวนทัศน์ทางสังคมอันหนึ่งหรือหลายหลาก - กระบวนทัศน์ความขัดแย้ง (conflict paradigm) โฟกัสลงบนความสามารถของกลุ่มต่างๆ บางกลุ่มที่มีอิทธิพลครอบงำคนกลุ่มอื่น, หรือการต่อต้านเกี่ยวกับการครอบงำนั้น - กระบวนทัศน์ในแบบวิธีการของคนธรรมดา (ethnomethodology paradigm - กระบวนการทางสังคมศาสตร์สาขาหนึ่งที่เกี่ยวพันกับคนธรรมดา ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างและองค์กรของสังคม) เป็นการสำรวจว่า ผู้คนทั้งหลายเข้าใจชีวิตสังคมกันอย่างไรในกระบวนการดำรงชีวิตอยู่ ราวกับว่าแต่ละคนเป็นนักวิจัยที่ผูกพันอยู่กับการค้นคว้าดังกล่าว - กระบวนทัศน์แบบสตรีนิยม (feminist paradigm) โฟกัสลงไปที่ ผู้ชายซึ่งมีอิทธิพลครอบงำสังคมได้ก่อรูปก่อร่างชีวิตทางสังคมขึ้นมาอย่างไร - กระบวนทัศน์แบบดาร์วิน (darwinism paradigm) เป็นการมองถึงวิวัฒนาการที่ก้าวหน้าไปของชีวิตสังคม - กระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยม (positivism paradigm) เป็นวิธีการในช่วงต้นของคริสตศตวรรษที่ 19 ซึ่งปัจจุบันนี้ได้รับการถูกพิจารณาว่าล้าสมัยไปแล้ว(หมายถึงในรูปแบบอันบริสุทธิ์ของมัน) บรรดานักปฏิฐานนิยมเชื่อว่า เราสามารถค้นพบกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ควบคุมชีวิตสังคมในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ - กระบวนทัศน์ในเชิงโครงสร้างหน้าที่(structural functionalism paradigm) ถูกรู้จักกันในนามของ กระบวนทัศน์ระบบสังคม(social systems paradigm)ด้วย ซึ่งได้กล่าวถึง แก่นหรือปัจจัยหน้าที่หลายหลากของสังคม ที่ได้ปฏิบัติการในเชิงระบบทั้งหมด - กระบวนทัศน์ปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ (symbolic interactionism paradigm) สำรวจว่า ความหมายร่วมและแบบแผนทางสังคม ได้รับการพัฒนาในแนวทางของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไร เกี่ยวกับกระบวนทัศน์เหล่านี้, กระบวนทัศน์ความขัดแย้ง(conflict paradigm) ของ Karl Marx, การปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์(symbolic interactionism) ของ Max Weber และ กระบวนทัศน์เชิงโครงสร้างหน้าที่(structural functionalism) ของ Emile Durkheim ต่างเป็นที่รู้จักมากที่สุด 5. จริยธรรมเกี่ยวกับการวิจัยสังคมศาสตร์ (The ethics of social research) ข้อพิจารณาหลัก ๒ ประการเกี่ยวกับจริยธรรมในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ คือ: - การมีส่วนร่วมแบบสมัครใจ มีอิสระ - ไม่เป็นอันตรายต่อผู้รับการทดสอบ 6. องค์กรต่างๆเกี่ยวกับการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ 6.1 องค์กรเกี่ยวกับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social research organisations) - Centre for Rural Social Research, Australia - Economic and Social Research Council, United Kingdom (Research Funding Council) - Institute for Public Policy and Social Research, USA - Institute for Social Research, Germany - Mass-Observation, United Kingdom - Matrix Research & Consultancy Limited, United Kingdom - Melbourne Institute of Applied Economic and Social Research, Australia - National Centre for Social Research, United Kingdom - National Opinion Research Center, USA - New School for Social Research, New York City 6.2 เทคนิคต่างๆในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social research techniques) Quantitative methods (วิธีการเชิงปริมาณ) - structured interviewing (การสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง) - statistical surveys and questionnaires (การสำรวจเชิงสถิติ และแบบสอบถาม) - structured observation (การสังเกตเชิงโครงสร้าง) - content analysis (การวิเคราะห์เนื้อหา) - secondary analysis (การวิเคราะห์ขั้นทุติยภูมิ) - Quantitative marketing research (การวิจัยการตลาดเชิงปริมาณ) Qualitative methods (วิธีการเชิงคุณภาพ) - analytic induction (การอุปนัยเชิงวิเคราะห์) - ethnography (ชาติพันธุ์วรรณา) - focus groups (กลุ่มโฟกัส) - morphological analysis (การวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนหลายมติ) - participant observation (การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม) - semi-structured interviewing (การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง) - unstructured interviewing (การสัมภาษณ์แบบที่ไม่เป็นโครงสร้าง) - textual analysis (การวิเคราะห์ตัวบท) - theoretical sampling (ตัวอย่างในเชิงทฤษฎี) +++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เอกสารอ้างอิง - Earl Babbie, 'The Practice of Social Research', 10th edition, Wadsworth, Thomson Learning Inc., ISBN 0-534-62029-9 - W. Lawrence Neuman, 'Social Resarch Methods: Qualitative and Quantitative Approaches, 6th edition, Allyn & Bacon, 2006, ISBN 0-205-45793-2 - Charles C. Ragin, 'Constructing Social Research: The Unity and Diversity of Method', Pine Forge Press, 1994, ISBN 0-8039-9021-9
+ หลักการวิจัยสังคมศาสตร์