บทสรุปและการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎี Marx และ Neo-Marxism กับ Cultural Studies ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎีของ Marx และ Neo-Marxism กับ Cultural Studies จะใช้แนวความคิดพื้นฐานของ Marx ได้แก่ 1)วัตถุนิยมประวัติศาสตร์และวิภาษวิธี 2)พัฒนาการของสังคม 3)สังคมในฐานะเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ 4)ความสำคัญของพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 5)การแบ่งแยกชนชั้น 6)ความแปลกแยกภายใต้ระบบทุนนิยม 7)การวิเคราะห์อุดมการณ์ มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ให้เห็นถึงการพัฒนาแนวคิดของ กลุ่ม Neo – Marxism ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานแนวคิดที่สำคัญให้กับสำนักวัฒนธรรมนิยม (culturalism) และสำนักโครงสร้างนิยม (structuralism) และพัฒนาการทางแนวคิดมาเป็นวัฒนธรรมศึกษาในระยะต่อมา สรุป 1) วัตถุนิยมประวัติศาสตร์และวิภาษวิธี Marx มองว่า สิ่งหลักที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม คือ ความขัดแย้งที่เติบโตจากลักษณะระบบการผลิตและการต่อสู้ทางชนชั้น โดยจะต้องมองสังคมแบบ “วิภาษวิธี” ซึ่งเป็นการมองภาพรวมและมองหาความขัดแย้ง ก็จะพบสิ่งที่ผลักดันให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง Marx มองว่าสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง สภาพการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องปกติ Neo – Marxism ได้นำฐานความคิดนี้มาพัฒนาและปรับใช้ในการศึกษาวัฒนธรรมโดยหันกลับไปรื้อฟื้นปรัชญาจิตนิยมวิภาษวิธีของเฮเกล ซึ่งเชื่อว่า จิตใจ(ความคิด)มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏอยู่และเป็นจริงได้เพราะจิตใจมนุษย์รับรู้ โดยที่จิตใจมนุษย์นั้นทำงานในรูปของกระกระบวนการวิภาษวิธี อีกทั้ง Neo – Marxism ยังคัดค้านการตีความและการประยุกต์ใช้วัตถุนิยมประวัติศาสตร์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยมองว่าเป็นการลดคุณค่าและลดบทบาทของจิตสำนึกในกิจกรรมของมนุษย์ 2) พัฒนาการของสังคม Marx เชื่อว่าขั้นตอนสุดท้ายของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์คือการโค่นล้มระบบทุนนิยมด้วยการลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และการสถาปนาสังคมคอมมิวนิสต์ Neo – Marxism กลับเสนอว่า การเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยมไปเป็นสังคมนิยมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยกลไกระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การปฏิวัติโดยการยึดอำนาจรัฐโดยตรง และได้เสนอช่องทางในการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในสังคมทุนนิยม ว่าควรกระทำควบคู่กันไปกับการปฏิวัติทางเศรษฐกิจและทางการเมือง 3) สังคมในฐานะเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ (Societies as Historical) Marx เห็นว่าประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะชนชั้นทางสังคมมีเครื่องมือหรือเงื่อนไขที่สำคัญ คือ อำนาจทางเศรษฐกิจและการต่อสู้ทางชนชั้นก็เป็นต่อสู้โดยตรงของชนชั้นกรรมมาชีพที่ต่างมีจิตสำนึกทางชนชั้นร่วมกันที่ต้องการโค่นล้มทุนนิยม Neo – Marxism กลับเห็นว่าเครื่องมือหรือเงื่อนไขในการครอบงำคืออุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมหรือความรู้ โดยมีลักษณะการครอบงำทางอ้อม และการต่อสู้ทางชนชั้นก็ต่อสู้โดยทางอ้อมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพลังขับเคลื่อนผ่านกลุ่มตัวแทนสังคมต่างๆ กลุ่มประชาสังคม กลุ่มเครือข่าย โดยมีเป้าหมายพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปสังคมสู่สังคมที่มีความยุติธรรม อย่างค่อยเป็นค่อยไป 4) ความสำคัญของพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Economic Base) ความคิดพื้นฐานของ Marx ส่วนใหญ่วางอยู่บนความคิดที่ว่าสถาบันทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนล่าง มีความสำคัญเป็นอันดับแรกในสังคมและเป็นตัวกำหนดโครงสร้างส่วนบน Neo – Marxism ได้เสนอว่าควรมองวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นวิถีชีวิตโดยรวม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในความหมายกว้างที่ครอบคลุมเอากิจกรรมทางสังคมด้านต่างๆไว้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีบทบาทที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของสังคม แต่สังคมก็เป็นผลมาจากการปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนของกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นวัฒนธรรมซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนบนจะต้องได้รับการพิจารณาว่ามีบทบาทต่อการดำรงอยู่ และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงผลสะท้อนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือโครงสร้างส่วนล่างเท่านั้น 5) การแบ่งแยกชนชั้น (Class Division) Marx เชื่อว่า ในทุกสังคมจะมีชนชั้นสองชนชั้น คือ ชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้ใช้แรงงาน เมื่อเกิดการกดขี่ข่มเหงเพิ่มขึ้น ชนชั้นผู้ใช้แรงงานก็จะเกิดความรู้สึกแปลกแยก (alienation) เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การเกิดการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของชนชั้นปกครองในที่สุด Neo – Marxism วิจารณ์ว่า Marx ใช้ฐานเศรษฐกิจในการพิจารณาเรื่องชนชั้นมากเกินไป และละเลยปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเป็นชาติพันธุ์ เพศสภาพ สัญชาติ เป็นต้น ทำให้ความคิดเรื่องชนชั้นอธิบายการแบ่งระดับของคนในสังคมที่ซับซ้อนไม่ได้ โดย Neo – Marxism ได้ทำการศึกษาการเกิดขึ้นของชนชั้น “กระฎุมพีน้อยกลุ่มใหม่“ (New Petite Bourgeoisie) ในฐานะผลผลิตของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และกำลังกลายเป็นสื่อนำทางวัฒนธรรมของสังคมปัจจุบัน 6) ความแปลกแยก(Alienation)ภายใต้ระบบทุนนิยม Marx เชื่อว่าภายใต้ระบบทุนนิยม ความรู้สึกแปลกแยกนี้เองจะทำให้เกิดสำนึกทางชนชั้น และเกิดการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของชนชั้นปกครองในที่สุด และนี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประวัติศาสตร์ Neo – Marxism กลับมองว่ามิติด้านอารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ มิได้ถูกกำหนดโดยสังคมอย่างสิ้นเชิง มนุษย์มีศักยภาพในการตอบโต้การกระทำจากสังคม โดยการนำเสนอสิ่งใหม่ อีกทั้งอาจเกิดสิ่งที่เรียกว่า สำนึกที่ผิดพลาดทางชนชั้น (False consciousness) คือ การคิดว่าชนชั้นอื่นดีทั้งๆที่ชนชั้นนั้นกำลังครอบงำชนชั้นตนอยู่ การคิดเช่นนี้ทำให้อุดมการณ์แห่งชนชั้นได้บิดเบี้ยวไป ขาดความซื่อสัตย์แห่งสำนึกของชนชั้นตน เมื่อเป็นเช่นนี้การปฏิวัติจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 7) การวิเคราะห์อุดมการณ์ Marx มองว่าค่านิยมและปทัสถานที่ครอบงำเป็นอุดมการณ์ที่ทำหน้าที่รองรับความถูกต้องให้กับอำนาจของชนชั้นปกครองเท่านั้น Neo – Marxism กลับให้ความสนใจกับ “อุดมการณ์ “(ideology)ในฐานะเป็นโครงสร้างส่วนบน ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดความโครงสร้างส่วนล่างด้วยเช่นกัน หรือทั้งส่วนล่างและบนต่างกำหนดซึ่งกันและกัน เนื่องจากกลไกหรือพลังที่ใช้ในการควบคุมปกครองสังคมนั้นมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่ Marx คิด ดังนั้น กลไกเชิงอุดมการณ์นี้ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐที่เข้าครอบงำวิธีคิด ความเชื่อ พฤติกรรมของผู้คนในสังคม ให้ยอมรับความสัมพันธ์ทางอำนาจที่กดขี่ขูดรีดในระบบทุนนิยมให้ดำรงอยู่โดยไม่เกิดคำถาม ผนวกควบให้ปัจเจกชนขึ้นตรงต่ออุดมการณ์ดังกล่าวโดยไม่เห็นทางเลือก การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางแนวคิดและทฤษฎี ในขณะที่ Marxist ดั้งเดิมเชื่อว่าโครงสร้างส่วนบนนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของโครงสร้างส่วนล่าง โดยมองว่าวัฒนธรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงสร้างส่วนบน จึงเป็นเพียงผลพวงหรือผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติการต่างๆ ในโครงสร้างส่วนล่างเมื่อมิติทางเศรษฐกิจหรือโครงสร้างส่วนล่างกลายเป็นผู้กำหนดที่มีความอิสระและสมบูรณ์ในตัวเอง อีกทั้งเป็นที่มาของปรากฏการณ์ทั้งหลายในสังคม ดังนั้นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม สังคม การเมืองจึงสามารถอธิบายได้ด้วยมิติเพียงมิติเดียวเท่านั้นคือ เศรษฐกิจ ในแง่นี้วัฒนธรรมหรือโครงสร้างส่วนบนจึงถูกเปรียบเป็นกระจกหรือภาพที่สะท้อนถึง “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นในโครงสร้างส่วนล่าง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น reflection theory of culture หรือทฤษฎีว่าด้วยวัฒนธรรมเป็นเพียงผลสะท้อนของเศรษฐกิจ Neo – Marxist ได้ทำการปรับปรุงแนวคิดทฤษฎีให้ทันสมัยเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในทางความเป็นจริงและพัฒนาการทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่นักคิด Marxist รุ่นคลาสสิกไม่ได้รับรู้และไม่มีประสบการณ์ ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นทางวัฒนธรรมหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโครงสร้างส่วนบน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางสังคมในระบบทุนนิยม ที่ไม่ลดรูปการอธิบายให้เหลือเพียงการสะท้อนของระบบเศรษฐกิจ Neo-Marxism ให้ความสำคัญกับประเด็นอุดมการณ์ที่ครอบงำทางวัฒนธรรม โดยการขยายแนวคิดเรื่องอำนาจนำที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงขยายการศึกษาไปยังเรื่องการครอบงำในสังคมทุนนิยมโดยใช้วัฒนธรรมการบริโภคที่ทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้ามากขึ้น วัฒนธรรมศึกษา ได้ผสานรากความคิดแบบวัฒนธรรมนิยมหรือ culturalism เข้ากับกระบวนทัศน์แบบโครงสร้างนิยมหรือ structuralism กลายเป็นการศึกษาโครงสร้างส่วนบนในนิยามแบบมาร์กซิสต์ด้วยการวิเคราะห์แบบสัญญะวิทยา โดยการพัฒนาความคิดของกลุ่ม Neo – Marxist ในเรื่อง อำนาจนำ (Hegemony)ของ Gramsci ที่มองวัฒนธรรมเป็นเวทีต่อสู้ทางการเมืองทั้งด้านการครอบงำและการต่อต้านอำนาจ ผนวกรวมเข้ากับความคิดของ Raymond Williams และ Louis Althusser ซึ่งเน้นเรื่องอุดมการณ์ในต่อต้านการครอบงำทางวัฒนธรรม ต่อมาในระยะหลังได้ผสมผสานกับทฤษฎีวิพากษ์ของสำนักแฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt School of Critical theory) เช่น ความคิดของ Walter Benjamin ซึ่งเน้นศึกษาความคิดบริโภคนิยมที่บูชาวัตถุ และแนวคิดของ ของ Max Horkheimer , Theodor Adorno เรื่อง อุตสาหกรรมวัฒนธรรม (culture industry) ที่มองว่าระบบทุนนิยมได้ผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมที่สร้างค่าของการบริโภคโดยลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงลง ตลอดจนแนวคิดสัญญะวิทยา(semiology) และความคิดหลังโครงสร้างนิยม(Post – structuralism) ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาการแยะแยะมุมมองที่แตกต่างกันในการให้ความหมาย วัฒนธรรมศึกษา จึงเป็นการศึกษาวัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นวิถีชีวิต หรือ culture as a way of life รวมทั้งมองวัฒนธรรมเป็นสนามทางการเมือง วัฒนธรรมศึกษาจึงมิใช่เป็นเพียงการศึกษาเพื่อให้รู้หรือเข้าใจ หากแต่เป็นปฏิบัติการทางการเมืองที่มุ่งเปิดเผยให้เห็นถึงกลไกและความสัมพันธ์ทางอำนาจที่บิดเบี้ยว รวมทั้งเปิดเผยให้เห็นถึงความเอารัดเอาเปรียบที่คนกลุ่มหนึ่งกระทำต่อคนอีกกลุ่มหนึ่งผ่านกิจกรรมธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นเรื่องปกติวิสัยไปโดยปริยาย การศึกษาแบบนี้จึงสะท้อนถึงจิตวิญญาณการต่อสู้ของฝ่ายซ้ายอย่างชัดเจน เอกสารอ้างอิง กฤษฎา บุญชัย, “วิธีหาความรู้หลังโครงสร้างนิยมกับมาร์กซิสม์เชิงโครงสร้าง การเมืองเรื่องการจัดการป่าในมิติของฟูโกต์และอัลทูแซร์”,( http://www.midnightuniv.org :2548). ฆัสรา ขมะวรรณ , “ แนวความคิดของเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ ในวัฒนธรรมศึกษา และการวิเคราะห์วัฒนธรรมบริโภค “ (วิทยานิพนธ์สังคมวิทยามานุษยวิทยามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , 2537). เชษฐา พวงหัตถ์,”โครงสร้าง-ผู้กระทำการ”,(กรุงเทพฯ : คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา ,2548). นันทวัฒน์ ฉัตรอุทัย , “ เส้นทางความคิดของ สจ๊วต ฮอลล์ และวัฒนธรรมศึกษา “ (http://www.sac.or.th : 2550 )มัทนา เจริญวงศ์, “แกรมชี่กับทฤษฎี Hegemony และ Ideology” ,( http://www.midnightuniv.org : 2548 ). ยศ สันตสมบัติ , “ จากวานรถึงเทวดา: มากซิสม์และมานุษยวิทยามากซิสต์”,(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2543). วจี เรืองพรวิสุทธิ์ ,”ตรรกวิทยาแห่งการบริโภค (Logic of consumption) , (/http://www.midnightuniv.org) 2549. วารุณี ภูริสินสิทธิ์ , “ การจัดช่วงชั้นทางสังคม ” ใน แนวความคิดพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรม, บรรณาธิการโดย อานันท์ กาญจนพันธ์ , (เชียงใหม่ : ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2548), วิทยากร เชียงกูล,”อธิบายศัพท์ ปรัชญาการเมืองและสังคม”,(กรุงเทพฯ : สายธาร,2547). วิริยะ สว่างโชติ , http://www.stou.ac.th/Thai/Grad_Stdy/Loadtext/Content/12741-3.doc ,” วัฒนธรรมศึกษาในเอเซียกับบทบาทของปัญญาชนฝ่ายซ้าย “, ( www.thaingo.org : 2550) สาคร สมเสริฐ,” บทนำเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง : นีโอ-มาร์กซิสต์”,(เวปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน,2548). อานันท์ กาญจนพันธ์, “ทฤษฎีและวิธีวิทยาของการวิจัยวัฒนธรรม,” (กรุงเทพ : อมรินทร์,2548). จาก http://my.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=380223
I 1 I 2 I 3 I
+ หลักการวิจัยสังคมศาสตร์