2.4 สำนักโครงสร้างนิยม (Structuralism) [9]และหลังโครงสร้างนิยม (Post Structuralism) [10] 2.4.1 โคลด เลวี่-เสตร้าส์ (Claude Levi-Strauss) นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส ได้เริ่มนำแนวคิดโครงสร้างนิยมมาใช้ประมาณ ค.ศ.1960 เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสำนักคิดทางภาษาศาสตร์ โดยโรมัน จาคอบสัน (Roman Jakobson) นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน Levi-Strauss ได้เอาความคิดของจาคอบมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาวัฒนธรรม Levi-Strauss เชื่อว่า”วัฒนธรรม” มีโครงสร้างหรือหลักการพื้นฐานเช่นเดียวกับภาษา อันเป็นลักษณะสากลที่มนุษย์ทุกแห่งหนทั่วโลกใช้ในการสื่อความหมายซึ่งกันและกัน Levi-Strauss ต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกๆคนและทุกๆวัฒนธรรม มีระบบการจำแนกแยกแยะ(system of classification )ที่เหมือนกัน นั่นคือการแยกแยะสิ่งที่ตรงข้าม(binary opposition) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่มนุษย์ใช้ในการจัดระเบียบชีวิต ในการให้ความหมายกับโลกและจักรวาล และในการสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ทฤษฎีโครงสร้างนิยม ได้รับแรงบันดาลใจมาจากทฤษฎี Marxism ตามทัศนะของ Levi-Strauss ทฤษฎีโครงสร้างนิยม เป็นความพยายามในการอธิบายการรวมตัวกันและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม อันเป็นประเด็นที่ Marx ไม่เคยพูดถึงมาก่อน ทฤษฎีโครงสร้างนิยม มิได้คำนึงถึง “ปัจจัย” ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่ Marx สนใจ ตามนัยนี้ ทฤษฎีโครงสร้างนิยมจึงมีลักษณะที่สนับสนุนทฤษฎี Marxism ในแง่ที่ว่า โครงสร้างนิยมมุ่งที่จะอธิบายประเด็นที่ Marxism มิได้อธิบายเอาไว้ นอกจากนี้ Levi-Strauss ยังได้เน้นว่า ท่านและ Marx มีความเห็นที่สอดคล้องกันในแง่ที่ว่า “ กฎเกณฑ์พื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ เป็นกฎเกณฑ์ที่เราสามารถค้นพบได้โดยการวิเคราะห์ทางทฤษฎี “Levi-Strauss ได้เปรียบเทียบมโนคติเรื่อง “โครงสร้าง” ของ ทฤษฎีโครงสร้างนิยมว่า เป็นสิ่งเดียวกันกับมโนคติเรื่อง “ ประวัติศาสตร์” ของทฤษฎีมาร์กซิสม์ ทั้งสองต่างเน้นในเรื่องของความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็น “วิภาษวิธี “ เช่นเดียวกัน 2.4.2 แนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) [11] ในปีค.ศ. 1960 แนวคิดโครงสร้างนิยม ได้รับความนิยมและแพร่หลายไปสู่สาขาวิชาเกี่ยวกับ สัญญศาสตร์ (Semiotics) ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยเฉพาะแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) มีทัศนะเกี่ยวกับภาษาหรือวิธีการเชิงวิพากษ์ที่สัมพันธ์กับความคิดการรื้อโครงสร้าง (Deconstructionists) ซึ่งมีหลักการมองว่า ความหมายที่มาจากภาษาไม่ได้ถูกกำหนดอย่างชัดเจนลงไป แต่ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยเรื่องที่พูด (Speaking Subject) มากกว่าการพูดถึงความจริง (Telling the truth) ซึ่งปรัชญาได้สร้างความหมายขึ้นมา โดยการปิดบังอำพราง , กีดกัน หรือทำให้มันเป็นชายขอบของคำศัพท์ต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรที่จะรื้อโครงสร้างตำรับตำรา และการตีความหรือแปลความหมายที่นำมาใช้อย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งใช้อำนาจเชิงปฏิบัติการโดยผ่านโครงสร้างทางสังคมที่สลับซับซ้อน (power operates through complex social structures) รวมถึงความรู้และความจริงเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างถึงราก (Knowledge and truth are ideas that can change radically) ดังนั้นภาษาของนักคิดรื้อโครงสร้าง ไม่ต้องการที่จะค้นหา “เนื้อหาข้อความ” ที่หมายถึงเชิงวัตถุวิสัย แต่ต้องการจะเปิดเผยความขัดแย้งทางภาษาศาสตร์และแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจหรือวาระทางการเมืองที่อยู่ข้างภายใต้สิ่งเหล่านั้น แนวคิดเกี่ยวกับ “การรื้อโครงสร้าง” จึงสนใจที่ระบบหรือโครงสร้างต่าง ๆ มากกว่าที่จะดูที่การปฏิบัติการอันเป็นรูปธรรมของปัจเจกชน สำหรับระบบต่าง ๆ ทั้งหมด คือ โครงสร้างมีศูนย์กลางอันหนึ่ง มีจุดกำเนิดของการเริ่มต้น และทุกระบบหรือโครงสร้างได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นคู่ ๆ ในลักษณะของความตรงข้ามกัน อันวางอยู่บนลักษณะบางอย่างของความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้งกันและกัน อาจกล่าวได้ว่า การวิเคราะห์แบบหลังโครงสร้างนิยม เป็นวิธีการหนึ่งที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โลก และพฤติกรรมการผลิต หรือผลิตซึ่งความหมายต่าง ๆ อีกทั้งเน้นถึงการมองว่า จิตสำนึกไม่ใช่แหล่งกำเนิดของภาษาที่เราพูดกันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลผลิตของความหมายต่าง ๆ ที่เราเรียนรู้และผลิตซ้ำ ซึ่งมีอำนาจในการแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงการสื่อสารและความคิดของเราตลอดเวลา ซึ่งเสมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบคุณค่าและค่านิยม นักคิดคนสำคัญของแนวคิดโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม ได้แก่ หลุยส์ อันธูแซร์ (Louis Althusser) ปีแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) มิเชล ฟูโกต์ ( Michel Foucault ) ชองค์ โบดริลยารด์ (Jean Baudrillard) และ โดยมีแนวความคิดที่สำคัญและเป็นรากฐานให้กับสายวัฒนธรรมศึกษาดังนี้ หลุยส์ อันธูแซร์ (Louis Althusser ) [12] Althusser สนใจไปที่อุดมการณ์ในฐานะเป็นโครงสร้างส่วนบน ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดความโครงสร้างส่วนล่างด้วยเช่นกัน หรือทั้งส่วนล่างและบนต่างกำหนดซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ทางอำนาจดังกล่าวสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเอกภาพและต่อเนื่องเพราะกระบวนการผลิตซ้ำ (Reproduction) ซึ่งประกอบด้วยผลิตซ้ำกำลังแรงงาน และผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางการผลิต โดย Althusser ได้เน้นไปที่การผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางการผลิต ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในการขูดรีดจากผู้มีอำนาจหรือชนชั้นปกครองกับชนชั้นล่างหรือชนชั้นที่ถูกปกครอง ซึ่งความสัมพันธ์เช่นนี้ถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาโดยผู้ถูกกดขี่ไม่รู้ตัว สิ่งที่ทำให้การผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางการผลิตดังกล่าวดำเนินไปอย่างราบรื่น ก็คือ อุดมการณ์ อันเป็นโครงสร้างส่วนบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุดมการณ์ของรัฐ Althusser ได้จำแนกให้เห็นว่า "รัฐ" ประกอบไปด้วย 2 ด้านคือ อำนาจรัฐ (State Power) และกลไกรัฐ (State Apparatuses) เพราะอำนาจรัฐเป็นพื้นที่ที่ชนชั้นต่างๆ เข้าไปช่วงชิงเพื่อใช้อำนาจจึงเปลี่ยนแปลงไปตามการเมืองในแต่ละช่วง แต่กลไกรัฐสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลง ในกลไกรัฐยังแยกออกเป็นกลไกเชิงปราบปราม ซึ่งมีความเป็นเอกภาพและมีขอบเขตอยู่ในปริมณฑลสาธารณะ และกลไกเชิงอุดมการณ์ ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายและดำรงอยู่ในปริมณฑลของปัจเจก เช่น สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน ชุมชน ครอบครัว เป็นต้น กลไกเชิงอุดมการณ์นี้เป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐที่เข้าครอบงำวิธีคิด ความเชื่อ พฤติกรรมของผู้คนในสังคม ให้ยอมรับความสัมพันธ์ทางอำนาจที่กดขี่ขูดรีดในระบบทุนนิยมให้ดำรงอยู่โดยไม่เกิดคำถาม ผนวกควบให้ปัจเจกชนขึ้นตรงต่ออุดมการณ์ดังกล่าวโดยไม่เห็นทางเลือก และทำให้ปัจเจกชนกลายเป็นองค์ประธานย่อย (subject) ที่ขึ้นตรงต่อองค์ประธานใหญ่ (Subject) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจ ปีแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) [13] หนังสือของ Bourdieu ชื่อ "Distinction : A social critique of the Judgement of Taste" (1979) ได้รับยกย่องจาก The International Sociological Association ( ISA) ให้เป็น 1 ใน 10 หนังสือที่ดีที่สุดทางด้านสังคมวิทยาแห่งศตวรรษที่ 20 แนวคิดที่เด่น เช่นแนวคิดเรื่อง practice theory, reproduction, Habitus, Social and Cultural Capital, Social space & Symbolic Space เป็นต้น โดย Bourdieu ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมของฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดย Bourdieu ได้เสนอว่า การปฏิบัติการทางวัฒนธรรม เป็นตัวกำหนดความแตกต่างทางชนชั้น ชนชั้นผ่านการนิยามผ่านการรับรู้จากการบริโภคที่เป็นสัญลักษณ์ พอๆกับตำแหน่งแห่งที่ของบุคคลทางเศรษฐกิจ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชนชั้นเชื่อมโยงกับเงื่อนไขพื้นฐานของการดำรงชีวิตหรือเงื่อนไขทางวัตถุ และความเป็นชนชั้นจะแสดงผ่านทางความแตกต่างเชิงสัญลักษณ์ทางการบริโภค ฐานะทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเป็นปัจจัยในการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมได้ ชนชั้นสามารถถูกนิยามในแง่มุมของตำแหน่งที่เหมือนกันในพื้นที่ทางสังคมซึ่งก่อให้เกิดเงื่อนไขที่เหมือนกันในการดำรงอยู่ซึ่งเป็นการสร้างบุคลิกลักษณะอันนำไปสู่การมีพฤติกรรมที่เหมือนกัน Bourdieu เสนอว่า ความเป็นชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งขึ้นอยู่กับการครอบครองทุน (Capital) ในรูปแบบต่างๆ ทุนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ Bourdieu ใช้ในการวิเคราะห์เรื่องการแบ่งชนชั้นคือ ทุนทางเศรษฐกิจและทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งส่วนใหญ่ได้ผ่านทางการศึกษา ทุนทั้งสองส่วนนี้กำหนดการมีอำนาจของบุคคลต่างๆ ในการได้มาซึ่งตำแหน่งแห่งที่ในสังคม ดังนั้นความไม่เท่าเทียมกันในทางเศรษฐกิจจึงเป็นผลมาจากการกระจายของทุนเหล่านี้อย่างไม่เท่าเทียม รสนิยมของชนชั้นที่ครอบงำ ถือว่ามีความชอบธรรม มีความเหนือกว่ารสนิยมของกรรมกร ในการศึกษาของ Bourdieu ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการเกิดชนชั้นใหม่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดย Bourdieu เรียกว่า กระฎุมพีน้อยกลุ่มใหม่ (New Petite Bourgeosie) ประกอบด้วยคนที่อยู่ในวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเป็นภาพตัวแทน และเป็นผู้นำเสนอ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการขายสินค้าและการบริการเชิงสัญลักษณ์ การผลิตทางวัฒนธรรม ชนชั้นใหม่กลุ่มนี้จะปฏิเสธการตัดสินเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม ในการดำเนินชีวิตจะให้ความสำคัญกับความสนุกสนาน ความพึงพอใจ ความประณีต การมีแบบฉบับเป็นของตนเอง การใช้ชีวิตแบบมี”สไตล์ “ มีรสนิยม และจะแข่งขันในการบริโภค โดยจะเน้นการบริโภคเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้ตัวเองต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ยังพยายามเสนอการดำเนินชีวิตของตนให้เป็นตัวอย่างของสังคม โดยมักชอบมีบทบาทในฐานะเป็นคนแถวหน้าหรือผู้นำในส่วนที่เกี่ยวกับศิลปะในการใช้ชีวิต เช่น การบริโภค ชีวิตครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ระหว่างวัย รวมทั้งการสร้างความหมายใหม่ให้กับความเป็นครอบครัว Bourdieu มองว่าชนชั้นนี้เป็นผลผลิตของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และกำลังกลายเป็นสื่อนำทางวัฒนธรรมของสังคมปัจจุบัน มิเชล ฟูโกต์ ( Michel Foucault ) [14] Foucault สนใจความเป็นภาวะวิสัยของสังคม คือ วาทกรรมและการปฏิบัติการของวาทกรรม (Discourse & practice) จากงานศึกษาเรื่อง "The order of discourse" หรืออำนาจของวาทกรรม วาทกรรมในความหมายของ Foucault หมายถึง กระบวนการสร้างความหมายโดยภาษาและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ดำรงอยู่ในสังคม ประกอบกันเป็นความรู้ ความเข้าใจในเรื่องหนึ่งๆ ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดว่าอะไรคือความรู้ ความจริง และอะไรไม่ใช่ วาทกรรมเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยสังคมทั้งโดยกลุ่มที่ครองอำนาจและกลุ่มที่ต่อต้านอำนาจ จัดเป็นเทคโนโลยีทางอำนาจที่ถูกใช้ทั้งการเก็บกดปิดกั้น และจัดระเบียบวิถีชีวิตของคนในสังคม แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ถูกใช้เพื่อต่อต้านอำนาจ (Counter discourse) ต่อต้านระเบียบที่วาทกรรมหลักครอบงำอยู่ การวิเคราะห์วาทกรรมทำให้เห็นแง่มุมของอำนาจโดยเฉพาะในแง่มุมของความรู้ได้ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น เมื่อวาทกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอ้างได้ว่ามีผู้ผลิต ผู้ควบคุมวาทกรรมอย่างชัดเจน ดังนั้นอำนาจจึงไม่ใช่อำนาจในรูปแบบองค์อธิปัตย์ (Sovereign Power) ที่มีเอกภาพตายตัว หรือสามารถระบุที่มา เป้าหมาย และขอบเขตได้อย่างชัดเจนเหมือนอย่างวิธีมองอำนาจโดยทั่วไปที่เห็นการใช้อำนาจโดยการสั่งการ จากเบื้องบนสู่ล่าง หรือ จากล่างสู่บนเท่านั้น ซึ่งเป็นมิติอำนาจในทางดิ่งที่ปรากฏตัวอยู่ในรูปของกฎหมาย การใช้คำสั่งจากรัฐ แต่อำนาจในแง่มุมของวาทกรรม เป็นอำนาจที่กระจายตัว แทรกซึมในแนวระนาบ เชื่อมต่ออย่างหลากหลาย ยากที่จะหาจุดกำเนิด จุดศูนย์กลางของการผลิต ดังนั้นไม่ว่าผู้กระทำการใดๆ ล้วนตกอยู่ภายใต้วาทกรรมหรือความสัมพันธ์อำนาจในเรื่องความรู้และความจริงด้วยกันทั้งสิ้น โดยสรุปแล้ว Foucault ได้ทำให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจ ความรู้ และวาทกรรมในระดับจุลภาคที่เข้มข้นและเชื่อมโยงกับระดับมหภาค วาทกรรมเป็นตัวกำหนดความรู้ สถาปนาอำนาจให้แก่ระบบสถาบัน ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันเหล่านี้ได้ใช้อำนาจแห่งวินัยภายใต้วาทกรรมต่างๆ มาการจัดประเภท จำแนก และวางรูปแบบการฝึกฝนสร้างวินัยให้แก่มวลหมู่สมาชิกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้วิธีควบคุมผ่านการจ้องมอง ตรวจสอบ สร้างวินัยให้เกิดแก่ผู้ถูกจ้องมองหรือถูกควบคุมให้นำไปปฏิบัติใช้โดยการควบคุมฝึกฝนตนเอง โครงสร้างอำนาจดังกล่าวถูกพัฒนาให้เป็นระบบการปกครองแบบชีวญาณ ที่ซึ่งอำนาจถูกเชื่อมโยงตั้งแต่รัฐไปจนถึงปัจเจก และทั้งหมดนี้ถูกทำให้เป็น "ปกติ" โดยไม่เกิดคำถามหรือการต่อต้าน นี่คือเทคนิควิธีทางอำนาจในสังคมยุคสมัยใหม่ ชองค์ โบดริลยารด์ (Jean Baudrillard) [15] Baudrillard ศึกษาโครงสร้างของสังคมบริโภค เกี่ยวกับ คุณค่า, ความหมาย, และกิจกรรม, โดยได้อิงอาศัยพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ์และเศรษฐกิจการเมืองเป็นหลัก ในงานเขียนที่ชื่อว่า Consumer Society: Myth and Structure ได้วิเคราะห์ว่า สังคมทุนนิยมในปัจจุบันเป็น "สังคมแห่งการบริโภค" Baudrillar ได้นำเอาแนวคิดและทฤษฎีของนักคิดหลายๆ คนมาใช้เป็นฐานในการวิพากษ์วิจารณ์สภาพสังคมบริโภค ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทฤษฎีเรื่องมูลค่า/คุณค่า (Value theory) ของ Marx ที่กล่าวถึงมูลค่าที่บรรจุไว้ในสินค้าว่ามีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ มูลค่าการใช้สอย (Use value) อันเป็นมูลค่า/คุณค่าในเชิงคุณสมบัติ (qualitative aspect of value) ที่วัตถุสามารถตอบสนองต่อความต้องการบางอย่างของมนุษย์ และมูลค่าการแลกเปลี่ยน (Exchange-value) ซึ่งเป็นคุณค่าของสินค้าในระบบตลาดซึ่งเป็นคุณค่าเชิงปริมาณ (quantitative aspect of value) ที่ถูกสร้างและกำหนดโดยสังคม เป็นคุณค่าของสินค้าที่ถูกตัดสินจากการเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นๆ ซึ่งในระบบเศรษฐกิจของการแลกเปลี่ยนนั้น มูลค่าการใช้สอยจะกลายสภาพไปสู่มูลค่าการแลกเปลี่ยนโดยผู้เกี่ยวข้อง (parties) ในการแลกเปลี่ยน Baudrillard เห็นว่ามูลค่า/คุณค่าที่กล่าวถึงทั้ง 2 แบบนั้น ไม่เพียงพอที่จะใช้ทำความเข้าใจสังคมแห่งการบริโภคได้อย่างเท่าทัน เพราะวัตถุในสังคมแห่งการบริโภคจะมีคุณค่าตามระบบหรือโครงสร้างที่ถูกจัดตั้งขึ้น พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ นอกจากประโยชน์ใช้สอยแล้ว วัตถุถูกกำหนดในฐานะที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างบรรยากาศของระบบคุณค่าใดระบบคุณค่าหนึ่ง ที่มีอยู่อย่างมากมายในสังคมสมัยใหม่ การวิเคราะห์ตรรกวิทยาทางสังคมแห่งการบริโภคที่แท้จริง ไม่ควรมุ่งไปที่การยึดถือในมูลค่าใช้สอยของสินค้าและบริการ แต่ให้มุ่งเน้นไปที่การผลิต การใช้ และควบคุมตัวหมายทางสังคม (social signifiers) เพราะสิ่งที่ผู้คนในปัจจุบันแสวงหาในการบริโภคสินค้าใดๆ ไม่ใช่เพียงมูลค่าการใช้สอยและมูลค่าการแลกเปลี่ยนตามแนวคิดของ Marx แต่เดิมเท่านั้น แต่จะมีเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ และการสื่อ-แสดงความหมายเข้ามามีบทบาทต่อการตัดสินใจด้วย Baudrillard เห็นว่าทฤษฎีเกี่ยวกับวัตถุและการบริโภคในสังคมปัจจุบันไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของว่าด้วยเรื่องของอรรถประโยชน์ (Utility) หรือทฤษฎีแห่งความพึงพอใจ (Pleasure) โดยทั่วไป แต่น่าจะวางอยู่บนรากฐานของการสร้างคุณค่าและความหมายของวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นมาในสังคม ซึ่งตั้งอยู่บนตรรกะแห่งความแตกต่าง (Difference) และเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ก้าวเข้าสู่การบริโภคเชิงสัญญะ Baudrillard ได้ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าอีกชนิด นั่นคือ คุณค่าเชิงสัญญะ (Sign value) และ ซึ่งได้กลายมาเป็นเหตุปัจจัยต่อการเลือกบริโภคในสังคมร่วมสมัยนี้ จากที่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ใช้สอยเพียงอย่างเดียว ก็กลายเป็นว่าคุณค่าเชิงสัญญะต่างหากที่จะมีอิทธิพลยิ่งกว่า และมูลค่าการแลกเปลี่ยนแบบเดิมในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ก็ไม่อาจเทียบได้กับคุณค่าเชิงสัญญะ ที่จะสร้างให้ผู้บริโภคมีความหมายหรือนัยยะทางสังคมที่แตกต่างออกไป Baudrillard กล่าวว่า ตรรกวิทยาค่าสัญญะ (A logic of sign value) เป็นตัวกำหนดพื้นที่ของการบริโภค (field of consumption) ดังนั้นวัตถุที่ไม่ใช่วัตถุตามความหมาย มันไม่สามารถแยกตัวเองออกจากความสัมพันธ์ และการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่เป็นเอกเทศและไม่มีทั้งคุณค่าเชิงประโยชน์ใช้สอยหรือคุณค่าการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ตรงข้ามกับวัตถุในฐานะที่เป็นสัญญะที่มีความเป็นเอกเทศของความหมายและไม่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของบุคคล แต่ความหมายเกิดขึ้นจากเทียบหาความสัมพันธ์เชิงความต่าง (differential relation) กับสัญญะตัวอื่นๆ เฟรดดิค เจมสัน( Fredric Jameson) [16] Jameson ได้เสนอแนวคิดในบทความ “ Postmodernism and Consumer Society”(1983) และ ในงาน “Postmodernism, or Cultural logic of Late Capitalism ”(1984) Jameson เห็นว่า หลังสมัยใหม่ คือ ตรรกะของวัฒนธรรมทุนนิยมยุคสุดท้าย( Late capitalism) ที่เกิดจากการพังทลายลงของห่วงโซ่ ข้อต่อของการสร้างความหมาย( chain of signification) อันได้ทำให้มูลค่าของกระบวนการผลิตสินค้าไม่ได้กลับไปสู่วงจรของกระบวนการสะสมทุนได้อีก ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือการบริโภคกลายเป็นแกนหลักของสังคมทุนนิยม ยุคที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแกนที่ว่านี้คือยุคปี ค.ศ. 1960 คือช่วงสำคัญของการเกิดปรากฏการณ์ที่ว่านี้ อย่างไรก็ตามเจมสันไม่ได้เห็นว่า สมัยใหม่กับหลังสมัยใหม่คือ เรื่องของการแบ่งช่วงระยะเวลา (periodization) เพราะทั้งสองต่างก็เป็นส่วนหนึ่งภายใต้ทุนนิยมยุคสุดท้ายเช่นกัน หากแต่ความเป็นหลังสมัยใหม่เด่นชัดมากในแง่ของตรรกะทางวัฒนธรรม ในขณะสมัยใหม่ที่เด่นชัด คือ เรื่องของอุตสาหกรรมการผลิตและกระบวนการทางสังคม Jameson เห็นว่า ยุคหลังสมัยใหม่ในช่วงปี 1960 นั้น เนื่องจากการเติบโตของทุนนิยมที่ได้กลายเป็นระบบโลกได้ทำให้มูลค่าของสินค้ามีตรรกะของมันผ่าน“พื้นที่”(space) และ“เวลา”(time)ที่ต่างไปจากยุคทุนนิยมคลาสสิกที่เน้นการผลิตแบบสมัยใหม่ คือการผลิตไม่ได้ในยุคที่เรียกว่าเป็นยุคโรงงานแบบฟอร์ด( Fordism) ซึ่งมีความหมายอุปมาอุปมัยในแง่การผลิตวัฒนธรรมในระบบทุนนิยมด้วย Jameson เห็นว่า วัฒนธรรมที่เกิดจากการกระบวนผลิตการสินค้า(commodification)ของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมในยุคทศวรรษ 1960 ไม่อาจหาความมีมาตรฐานเดียวกันอีกต่อไป “การบริโภค” (Consumption) ต่างหากคือ ประเด็นสำคัญของการผลิตวัฒนธรรมของระบบทุนนิยมไม่ใช่ “การผลิต” (Production) สิ่งที่เขาเสนอก็คืออะไรก็ได้หากแปลงเป็นสินค้าได้ ตัวมันก็สามารถที่จะสร้างปัจจัยในการสร้างการบริโภคได้เช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้ถึงกับอ้างว่าทั้งหมดนั้นคือ “ความเป็นหลังสมัยใหม่” ดังนั้น กระบวนการผลิตวัฒนธรรมเฉกเช่นการผลิตสินค้าในโรงงานจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมหลังสมัยใหม่ คุณลักษณะของหลังสมัยใหม่นิยม ได้ทำให้วัฒนธรรมขึ้นอยู่กับการเมืองของความพึงพอใจ( politic of pleasure) ซึ่งการบริโภคนี้ไม่ได้เป็นผลของการมีจิตสำนึกที่ผิดพลาดในผู้คนสังคมของการบริโภคแต่อย่างใด การบริโภคกลับเป็นกระบวนการสร้างความแตกต่างทางด้านอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากพันธนาการต่างๆในระบบทุนนิยม ซึ่งการปลดปล่อยนี้ไม่ได้อยู่ขึ้นอยู่กับการบูรณาการของจิตสำนึกทางชนชั้น หรือจะเกิดก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านของวิถีการผลิตจากวิถีหนึ่งไปเป็นอีกวิถีหนึ่ง วัฒนธรรมจึงเป็นตัวขับเคลื่อนความเป็นหลังสมัยใหม่ พร้อมๆกับหลังสมัยนิยมก็คือรูปแบบทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกัน โดยสรุป Neo – Marxism เป็นการพัฒนาแนวคิดต่อยอดมาจาก Marxist หลายสำนัก และให้ความสำคัญในการมองสังคมอย่างสลับซับซ้อน และกล่าวได้ว่าแนวความคิดของ Western Marxism โดย Gyorgy Lukacs และ Antonio Gramsci ที่กลับมาตรวจสอบและชี้ให้เห็นถึงปัญหาทางทฤษฎีของคำอธิบายของของ มาร์กซิสต์ดั้งเดิมในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างส่วนบนกับส่วนล่าง จากนั้นกระแสการปฏิเสธความคิดมาร์กซิสต์ดั้งเดิมก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และมีอิทธิพลอย่างมากต่อนักคิดรุ่นต่อมาโดยเฉพาะกลุ่มซ้ายใหม่ในอังกฤษ เช่น เอ็ดเวิร์ด ธอมป์สัน และเรมอนด์ วิลเลี่ยมส์ (Raymond Williams) ซึ่งได้ส่งต่อมรดกความคิดนี้แก่นักทฤษฎีสายวัฒนธรรมศึกษา ที่เริ่มต้นในสำนักเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษเป็นที่แรก 3. Cultural Studies วัฒนธรรมศึกษา วัฒนธรรมศึกษาเริ่มต้นจากการเกิดศูนย์การศึกษาวัฒนธรรมร่วมสมัย (Center for Contemporary Culture Studies) ในมหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษ โดยก่อตั้งในปี ค.ศ.1964 และมี ริชาร์ด ฮอกการ์ต (Richard Hoggart) เป็นผู้อำนวยการคนแรก Hoggart เขียนหนังสือ The Uses of Literacy (1957) ซึ่งเป็นงานศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของชนชั้นแรงงานในอังกฤษในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้น Hoggart ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการที่องค์กรการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมหรือยูเนสโก (UNESCO) ในปี 1964 สจ็วต ฮอลล์( Stuart Hall) [17] ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวัฒนธรรมร่วมสมัย และทำให้แนวคิดวัฒนธรรมศึกษาได้แพร่หลายไปทั่วโลก โดย Hall ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “Cultural Studies : Two Paradigms” ว่า วัฒนธรรมศึกษามีจุดเริ่มต้นมาจากการผสมผสานระหว่างสำนักคิดวัฒนธรรมนิยมและสำนักคิดโครงสร้างนิยม โดยนักคิดที่อยู่ในสายวัฒนธรรมนิยมก็คือ เอ็ดเวิร์ด ธอมป์สัน, เรมอนด์ วิลเลี่ยมส์ และ ริชาร์ด ฮอกการ์ท สิ่งที่พวกวัฒนธรรมนิยมทำก็คือ การปลดปล่อยวัฒนธรรมสู่ความหมายใหม่ ความคิดหลักของสำนักวัฒนธรรมนิยม คือ การให้ความสำคัญกับมนุษย์ มองมนุษย์ด้วยมุมมองมนุษยนิยม มองว่ามนุษย์นั้นมีแก่นสารตัดสินใจและกระทำสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเอง ยกย่องมนุษย์เป็นศูนย์กลางและเป็นผู้ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ ในขณะที่นักคิดโครงสร้างนิยมอย่าง เฟอร์ดินานด์ เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Sauusure), โคล้ด เลวี่ สโตร๊ส (Claude Levi-Strauss), โรลองต์ บาร์ทส์ (Roland Barthes) และหลุยส์ อัลธูแซร์(Louis Althusser) กลับมองว่าความหมายหรือประสบการณ์ต่างๆของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวมนุษย์เอง มนุษย์ไม่ใช่องค์ประธานหรือเป็น subject ของการกระทำต่างๆ แต่ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายกลับเป็นผลมาจากปฏิบัติการของระบบสร้างความหมายที่ดำรงอยู่อย่างเป็นภววิสัย นอกจากที่ระบบนี้จะดำรงอยู่อย่างเป็นภววิสัยและเป็นอิสระจากตัวคนแล้ว ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือมีมาก่อนตัวมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นผู้กำหนดประสบการณ์ต่างๆของปัจเจกชนอีกด้วย ในแง่นี้ประสบการณ์จึงเป็นเพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสร้างความหมายเท่านั้น งานศึกษาที่สำคัญของ Althusser เรื่อง "อุดมการณ์และกลไกอุดมการณ์ของรัฐ” (Ideology and Ideological State Apparatuses) [18] ได้ทำความเข้าใจถึงกลไกอำนาจทางอุดมการณ์ในการครอบงำกำกับระบบความสัมพันธ์ทางสังคมได้ลึกซึ้ง ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์กระบวนการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างรัฐกับประชาชนได้อย่างชัดเจน ความสอดคล้องของทั้งสำนักวัฒนธรรมนิยมและสำนักโครงสร้างนิยม คือ วิพากษ์และปฏิเสธการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างพื้นฐานกับโครงสร้างส่วนบนของมาร์กซิสม์ดั้งเดิม ที่มองว่าวัฒนธรรมเป็นเพียงผลสะท้อนของสิ่งอื่น รวมทั้งความคิดเชิงกำหนดนิยมแบบต่างๆ โดยเฉพาะเชื่อว่า เศรษฐกิจเป็นฝ่ายกำหนดวัฒนธรรมแต่ข้างเดียว ซึ่งฮอลล์ได้ใช้ความคิดของอันโตนิโอ กรัมชี่เป็นตัวเชื่อมประสานความคิดแบบวัฒนธรรมนิยมเข้ากับความคิดแบบโครงสร้างนิยม โดย ฮอลล์ ได้ผนวกรวมความคิดเรื่องอำนาจนำ (Hegemony)ของกรัมชี่ และความคิดเรื่อง"อุดมการณ์”(Ideology)ของอัลธูแซร์ และใช้เป็นจุดยืนของวัฒนธรรมศึกษา ที่ให้ความสนใจกับ “ กระบวนการเชื่อมโยงอุดมการณ์ต่างๆ เข้าหากันผ่านปฏิบัติการของภาษาและวาทกรรม” ซึ่งช่วยให้วัฒนธรรมศึกษาสามารถอธิบายได้ว่า ความคิดหรืออุดมการณ์ต่างๆนั้นเข้าไปยึดกุมความคิดจิตใจของมวลชนได้อย่างไร แนวทางของวัฒนธรรมศึกษาในช่วงปี 1960 ได้ให้ความสนใจในการศึกษาวัฒนธรรมย่อยของวัยรุ่น (youth subculture) และความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้นทางสังคม จากนั้นในช่วงปี 1970 แนวคิด Hegemony ได้เข้ามามีอิทธิพล วัฒนธรรมศึกษาจึงให้ความสนใจในการศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มคนที่มีบทบาทชี้นำทางสังคมกับคนที่อยู่ใต้อำนาจ ซึ่งความสัมพันธ์นี้ดำเนินไปบนฐานของการผลิตและการบริโภคภายใต้ระบบทุนนิยม ในระยะต่อมาได้มีการเบี่ยงเบนความสนใจไปสู่ประเด็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมวลชน (mass culture) ซึ่งเป็นการศึกษาชีวิตคนธรรมดาทั่วๆไป และในช่วงต้นปี 1980 ได้ให้ความสนใจกับการศึกษาวัฒนธรรมประชานิยม “popular culture” ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิวัติของเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของทุนนิยมสู่ยุคโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามในช่วงปลาย ค.ศ.1990 วัฒนธรรมศึกษาได้แยกตัวเองออกจากแนวทางการศึกษาแบบมาร์กซิสต์ โดยได้มีการทบทวนและปรับกระบวนทฤษฎีที่เกิดขึ้น มีการตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมด้วยมุมมองใหม่ นั่นคือ มองวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นภาษาหรือเป็นตัวบทหนึ่งๆ ซึ่งหมายถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการศึกษาจากที่เคยเน้นหาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างส่วนล่างและโครงสร้างส่วนบนไปสู่การศึกษาอุดมการณ์ด้วยมโนทัศน์เรื่อง discourse (วาทกรรม) และแนวคิดเรื่องอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ ประเด็นการศึกษาเรื่อง การสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ของผู้คนในกลุ่มเกย์ เลสเบี้ยน คนพลัดถิ่น ผู้อพยพ วัยรุ่นกับวัฒนธรรมดนตรี เป็นต้น ภายหลังจากการเกิดขึ้นของแนวคิดวัฒนธรรมศึกษาในประเทศอังกฤษแล้ว แนวคิดนี้ได้แพร่กระจายตัวไปยังมหาวิทยาลัยในอีกหลายๆประเทศ เช่น อเมริกา แคนาดา กลุ่มยุโรปบางประเทศและออสเตรเลีย โดยมีแนวทางการศึกษาที่แตกต่างจากประเทศอังกฤษ ซึ่งทำให้ความสนใจด้านวัฒนธรรมมีการขยายฐานกว้างมากขึ้น ไม่จำกัดแต่เพียงสาขามานุษยวิทยา มนุษยศาสตร์และวรรณกรรมเท่านั้น สำหรับในเอเชียนั้น วัฒนธรรมศึกษาเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 1990 โดยมีนักวิชาการชาวไต้หวันและสิงคโปร์เป็นแกนหลัก โดยมีประเด็นศึกษา เรื่อง “อัตลักษณ์และความเป็นชาติ” ของชาติต่างๆในเอเชียยุคของการการคลี่คลายตัวของอาณานิคม (decolonization) ส่วนประเด็นศึกษาของวัฒนธรรมศึกษาเอเชีย ปี 2007 ที่นำเสนอโดยศูนย์ศึกษาสังคมศาสตร์กัลกัตตา ประเทศอินเดีย (Center for the Social Sciences Calcutta, India) ได้นำเสนอบทความเรื่อง "Dissolution or Transformation? Studying Peasant Culture in the 21st Century" ซึ่งประเด็น "ชาวนา" ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยที่กล่าวถึงเลยในแวดวงวัฒนธรรมศึกษามาก่อน หากวัฒนธรรมศึกษาในอังกฤษเกิดมาจากความสนใจในการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมชนชั้นแรงงาน เรื่องของการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมชาวนา ก็น่าจะเป็นประเด็นที่วัฒนธรรมศึกษาในเอเชียต้องให้ความสนใจกับเรื่องชาวนา วิริยะ สว่างโชติ [19] ได้เสนอประเด็นไว้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า “...บทบาทของวัฒนธรรมศึกษาน่าจะเป็นบทบาทที่มีความสำคัญต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งในบทบาทภารกิจงานวิชาการในการขบคิดและตั้งประเด็นใหม่ๆให้กับการวิเคราะห์สังคม และภารกิจในการร่วมกันหาคำตอบให้กับปฏิบัติการทางสังคมร่วมกับกลุ่มเอ็นจีโอ ชาวบ้าน นักวิชาการ นักกิจกรรมวัฒนธรรม และการก้าวไปให้พ้นประชานิยมทางวัฒนธรรม (culture populism)
I 1 I 2 I 3 I
+ หลักการวิจัยสังคมศาสตร์