ทำไมเราจึงดูงานศิลปะไม่รู้เรื่อง เมื่อศิลปะมุ่งทำลายตัวเอง ทำไมคนไทยไม่สนใจงานศิลปะ นี่เป็นสิ่งที่ศิลปินหลายๆ คนอยากจะถาม อาจจะเป็นเพราะไม่มีใครเคยให้การศึกษาเรื่องศิลปะกับคนไทยมาก่อน หรือคนไทยส่วนใหญ่ยังวุ่นวายเรื่องปากท้องไหนเลยจะมีเวลาหันมาสนใจศิลปะได้ แถมภาครัฐเองก็ไม่เคยใส่ใจที่จะสนใจสนับสนุนงานศิลปะอย่างจริงจัง หรือแท้ที่จริงแล้ว ศิลปินนั่นแหละที่ผิด เพราะทำงานศิลปะไม่รู้เรื่อง!!! สายัณห์ แดงกลม อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร คือคนที่ตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ผ่านการประชุมทางวิชาการของศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธรและเอกสารทางวิชาการเรื่อง เสพศิลป์ และกลืนกินความร่วมสมัย โดยสายัณห์ ตั้งข้อสังเกตถึงความยุ่งยากในการที่ผู้ชมงานจะเข้าถึงศิลปะร่วมสมัยในยุคปัจจุบัน ว่าไม่ใช่เฉพาะรูปแบบและความสลับซับซ้อนที่พิลึกพิลั่นจนผู้ชมไม่คุ้ยเคย แต่ยังรวมถึงผลงานที่ผู้ชมคุ้นเคย ใกล้ตัว และสามัญธรรมดา จนเหลือเชื่อว่าจะเป็นงานศิลปะได้ เขาให้ความเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ คือศิลปะร่วมสมัยอยู่ในภาวะไร้ผู้ชม ไร้ศิลปิน ไร้งานศิลปะ ภาวะ "ไร้ผู้ชม" เขาได้ให้ความหมายว่า ศิลปะร่วมสมัยนั้นมีความ "เป็นอื่น" ไม่ใกล้ชิดกับสังคม ไวต่อเรื่องรอบๆ ตัวแต่ไม่ไวต่อความรู้สึกของคน ในขณะที่งานบางชิ้นกลับเรียกร้องความคุ้นเคยและต้องการให้ผู้ชมเข้าร่วมจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ หากจะมีก็แต่ผู้มาร่วมงานเปิดนิทรรศการกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มเดิมๆ เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับงานสังคมที่ลวงตาว่ามีผู้ให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นตรงกันข้ามชนิดที่สายัณห์ให้คำจำกัดความว่า "แร้นแค้นสิ้นดี" ปฏิสัมพันธ์แบบไม่ปะติดปะต่อของผู้ชมกับศิลปินนี้ทำให้เกิดอาการหลักลอย ผู้ชมไม่สามารถตอบได้เมื่อเห็นงานว่าชอบหรือไม่ มีแต่ "เก็บไว้พิจารณา" และกลายเป็น "เชื้อความน่าจะเป็นศิลปะ" ซึ่งขยายผลแทรกแซงทุกสิ่ง จนสามารถตั้งอะไรเป็นงานศิลปะก็ได้ตามอำเภอใจ ส่วนภาวะ "ไร้งานศิลปะ" สายัณห์อธิบายว่าในขณะที่สาธารณชนไม่สนใจงานศิลปะ ผลงานบางประเภทก็ต้านการเสพงานแบบเดิมๆ อย่าง Strang Fruit (for David) ของ Zoe Leonard ที่เอาเปลือกผลไม้กระจายกันไปตามพื้นเย็บด้วยด้าย ติดกระดุมและซิป แล้วปล่อยให้เน่าเปื่อยก็เป็นงานศิลปะที่มีตัวตนอยู่แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถทำซ้ำหรือเหลือไว้ให้ดูต่อไปได้ ซึ่งขัดกับขนบเดิมซึ่งผู้ชมสามารถเข้าถึงงานศิลปะได้ตลอดเวลา ทำให้เหินห่างกับผู้ชมไปอีก Strang Fruit ของ Zoe Leonard นอกจากนี้ ศิลปะร่วมสมัยในปัจจุบันยังตั้งอยู่บนกฎที่สายัณห์ให้คำจำกัดความเป็นภาษาไทยว่า การแหวกและแหกต่อแบบลูกโซ่ (Transgression of transgression) คืองานชิ้นที่มาใหม่พยายามล้มล้างผลงานของผู้มาก่อนอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ยังลบร่องรอยการมีอยู่ของตัวเอง จนสุดท้ายก็จะไม่มีผลงานของใครเหลืออยู่เลย เมื่อไม่มีผู้ชมและไม่มีหลักฐานการมีอยู่ของผลงาน สิ่งที่ผู้คนเข้าไปเสพก็เหลือเพียงสัญลักษณ์หรือตำนานเพียงเท่านั้น โดยขาดความเข้าใจความหมายที่ถูกทิ้งค้างไว้หรือขาดสาระความหมายอันเข้มข้นที่ควรจะมี งานศิลปะเหล่านี้จึงอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า "ตายทั้งเป็น" หรือ "ไม่ได้ผุดได้เกิด" และต้องจมหายไปกับการเวลาในที่สุด สุดท้ายภาวะ "ไร้ศิลปิน" งานร่วมสมัยส่วนหนึ่งถูกใช้เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวของตัวเองโดยลดทอนรูปทรงสีสันไว้ให้น้อยที่สุด จนเกิดเป็นงานอย่าง Monochromes (งานที่มีสีเดียว), Abstaction ฯลฯ แต่ก็เกิดการลดทอนฝีมือลงมาจนเหลือถึงขั้นไม่เหลืออะไรให้สัมผัสจับต้องเลย มีเพียงข้อเสนอหรือเจตนารมณ์ดั้งเดิมอยู่แต่สื่อกลางกลับหายไปเหลือเพียงความคิดของบุคคล ขาดน้ำมือ แต่ยังยืนกรานถึงฝีมือ ตัวอย่างเช่น งานของ Robert Rauschenberg ที่ได้ขอภาพลายเส้นจาก De Kooning มาลบด้วยยางลบ 20 แท่งเกิดเป็นงานชิ้นใหม่ชื่อ Erased De Kooning Drawing หรือ "ภาพลายเส้นที่ถูกลบของ De Kooning" Erased De Kooning Drawing สายัณห์บอกว่า ปรากฏการณ์นี้ถึงกับมีเรื่องตลกเล่าเกี่ยวกับแม่บ้านใหม่เข้าไปทำงานในพิพิธภัณฑ์ศิลปะและไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับฟองน้ำที่ถูกวางอยู่กลางห้อง เพราะเธอไม่รู้ว่ามันเป็นของแม่บ้านลืมไว้หรือมันเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งกันแน่ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้ชมปฏิเสธการเสพผลงานด้วยเหตุผลที่ว่าไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปแล้วต้องไปเค้นนัยยะเอาจากรอยขูดขีด 2-3 เส้น เพราะไม่ต้องเป็นศิลปินก็สามารถผลิตงานอย่างที่ว่านี้ออกมาได้ ไม่ใช่ของแปลกประหลาดอะไร นี่เท่ากับงานศิลปะที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้จงใจให้ผู้ชมรู้เรื่อง เพราะบางครั้งงานก็เป็นเรื่องที่เป็นส่วนตัวเกินที่จะจับต้องได้ ทำให้เกิดความรู้สึกเหินห่างกับผู้ชม และเหินห่างออกไปอีกเมื่องานศิลปะจำกัดเวลาให้ผู้ชม ส่งผลให้ยากต่อการเข้าถึงไปอีก นอกจากนี้ บางครั้งก็ตื้นเขินจนไม่ต้องอาศัยศิลปินเป็นผู้นำเสนอก็ได้ อย่างไรก็ตาม สายัณห์สรุปว่าศิลปะร่วมสมัยในยุคนี้อยู่ในภาวะการแช่แข็งตัวเองเท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่วาระสุดท้ายของงานศิลปะ เป็นเพียงวงจรหนึ่งที่เข้ามาคั่นระหว่างยุคต่อไป ซึ่งน่าจะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้น ใครที่ดูงานศิลปะไม่รู้เรื่องไม่ต้องตกใจไป เพราะคุณคือคนส่วนใหญ่ของโลกใบนี้